ยูเอ็นชี้ความสุขคนไทยติดอันดับ 52 จาก 156 ประเทศที่ 3 ของอาเซียน นครพนมสุขที่สุด แม่กลองรั้งท้าย อธิบดีสุขภาพจิตแนะ ลดหมกมุ่นหน้าจอทีวี-มือถือ เพิ่มเวลาให้ครอบครัว
          เมื่อวันที่ 18 มีนาคม นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวในการเสวนาวิชาการเรื่อง "ความสุขคนไทย : เราจะทำอะไรกันได้บ้าง" ว่า เมื่อปี 2555 องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประกาศให้วันที่ 20 มีนาคมของทุกปีเป็นความสุขสากล (The International Day of Happiness) ซึ่งในปีนี้ยูเอ็นได้จัดทำรายงานผลสำรวจระดับความสุขใน 156 ประเทศทั่วโลกพบว่า ความร่ำรวยเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งของความสุขเท่านั้น ยังมีปัจจัยสำคัญอื่นๆ ประกอบรวมกันที่ทำให้คนเรามีความสุข เช่น เสรีภาพทางการเมือง ความเข้มแข็งของเครือข่ายสังคม การไม่มีคอร์รัปชั่น ส่วนความสุขในระดับบุคคล การมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีความมั่นคงในอาชีพการงานและครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญของการมีความสุข
          นพ.วชิระ กล่าวอีกว่า จากผลการสำเร็จของยูเอ็น พบว่า ไทยมีความสุขอยู่ในลำดับที่ 52 ของโลก เป็นอันดับที่ 3 ในอาเซียนรองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย ที่มีความสุขอยู่ที่อันดับที่ 33 และ 51 แต่มีระดับความมีอารมณ์ดีเป็นลำดับที่ 8 ของโลก และมีระดับการมีอารมณ์เสียน้อยเป็นลำดับที่ 14 สะท้อนให้เห็นว่า คนไทยมีจิตใจที่เป็นสุข แต่ยังจำเป็นต้องพัฒนาประเทศเพื่อยกระดับความเป็นทุกอยู่ที่ดี ตามปัจจัยความสุขที่สำคัญของทุกประเทศทั่วโลกได้แก่ รายได้ การมีงานทำ ความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชน สุขภาพกาย สุขภาพจิต ความสัมพันธ์ในครอบครัว การศึกษาและความเท่าเทียมทางเพศและสังคม
          "ผู้มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิต คือผู้มีโรคประจำตัว ครอบครัวหย่าร้าง หรือมีสมาชิกติดยา เสพยาเสพติด ติดสุรา ผู้พิการแรงงานรับจ้างรายวัน เป็นกลุ่มที่ควรได้รับการดูแลช่วยเหลือจากชุมชนและสังคม ดังนั้นการเลือกทำกิจกรรมความสุขกันในครอบครัว โดยไม่ก้มหน้ามองแต่โทรศัพท์มือถือ หรือจอทีวี ไม่ปล่อยให้เทคโนโลยีมาทำให้ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอ่อนแอลง จะทำให้ชีวิตมีความสุข" นพ.วชิระกล่าว
          นพ.วชิระ กล่าวว่า แนวโน้มความสุขคนไทยที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ การที่ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุในสัดส่วนที่สูงขึ้น ซึ่งจากการวิจัยพบว่า ความสุขของผู้สูงอายุเกียวข้องกับการมีรายได้สำหรับจับจ่ายใช้สอย การมีสุขภาพดี มีความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชนที่ดีจะทำให้รู้สึกมีคุณค่า ตลอดจนได้เข้าถึงธรรมะผู้ที่ยังอยู่ในในวัยทำงานจึงควรจัดเตรียมต้นทุนด้านสุขภาพ การเงิน สายสัมพันธ์ในครอบครัวให้ดี เพราะจะมีผลต่อความสุขในระยะยาวของชีวิต และหากมีผู้สูงอายุในบ้านควรเปิดโอกาสให้ท่านได้ร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่จะสร้างสายสัมพันธ์และความรู้สึกมีคุณค่า นอกจากนี้การศึกษาและปฏิบัติธรรมนับเป้นปัจจัยความสุขสำคัญของผู้สูงอายุที่ควรเข้าถึงตั้งแต่ในวัยทำงานด้วยเช่นกัน
          น.ส.รัจนา เนตรแสงทิพย์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวว่า จากการสำรวจข้อมูลความสุขของคนไทยต่อเนื่อง 5 ปี พบว่า แนวโน้มคนไทยมีระดับความสุขเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ปี 2551 ระดับความสุขอยู่ที่ 31.8 และเพิ่มเป็น 33.59 คะแนน ในปี 2555 จากคะแนนเต็ม 45 คะแนน จังหวัดที่มีความสุขมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ นครพนม 36.70 พิจิตร 36.39 ตรัง 36.15 ชัยภูมิ 35.92 กระบี่ 35.79 ส่วนจังหวัดที่มีความสุขน้อยที่สุด 5 อันดับ คือ สมุทรสงคราม 26.92 สมุทปราการ 29.81 สระแก้ว 30.12 ภูเก็ต 30.76 หนองคาย และกาญจนบุรี 31.34 ส่วนกรุงเทพมหานครอยู่ที่ 65 มี 32.15 คะแนน
          "นครพนมมีรายได้ระดับปานกลาง แต่มีความมั่นคงด้านครอบครัวสูง ส่วนจังหวัดที่มีความสุขอยู่ในลำดับท้ายๆ เป็นจังหวัดที่มีการย้ายถิ่นเพื่อการทำงานมาก ทำให้สุขภาพจิตต่ำกว่าจังหวัดอื่น แต่หากเป็นการย้ายถิ่นเพื่อการศึกษาจะมีสุขภาพจิตที่ดีมาก เพราะรู้สึกมีความหวัง มีอนาคตที่ดีขึ้น ส่วน กทม.อาจเป็นเพราะความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้น รวมถึงการมีเวลาอยู่กับครอบครัวไม่เพียงพอก็ส่งผลต่อสุขภาพจิตได้มาก" น.ส.รัจนา กล่าว