Follow us      
  
  

หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก [ วันที่ 29/01/2563 ]
ไทยสกัด ไวรัสโคโรนา2019 กรอง-กัก-รักษาจนหายป่วย

 พวงชมพู ประเสริฐ
          qualitylife4444@gmail.com
          จนถึงวันที่ 27 มกราคม 5 ใน 8 รายผู้ป่วยยืนยันที่ประเทศไทยพบติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 สามารถรักษา หายดีและออกจากโรงพยาบาลแล้ว อีก 3 ราย อาการทั่วไปดีขึ้น นับว่ามาตรการสกัดไวรัสนี้ไทยยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเส้นทาง ตั้งแต่การคัดกรอง กักตัว นำเข้ารักษา จนหายป่วยและกลับบ้านได้
          เจ้าหน้าที่ควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เริ่มมาตรการคัดกรองที่สนามบินสำหรับ ผู้เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 ช่วงเวลาที่คนไทยหลายคนยังสนุกสนานกับเทศกาลปีใหม่ และดำเนินการภายหลังจากที่จีนประกาศโรคระบาดเพียง 3 วัน ขณะที่ยังไม่รู้ถึงสาเหตุของโรคนี้ และก่อนหน้านี้ได้ขอความร่วมมือ 2 สายการบินที่บินตรงจากอู่ฮั่นมาไทยให้คัดกรองที่ต้นทางด้วย หากป่วยห้ามเดินทาง
          ทันทีที่เที่ยวบินจากเมืองอู่ฮั่น จนปัจจุบันเพิ่มพื้นที่เสี่ยงโรคระบาดจากเมือง อื่นๆ ในประเทศจีนด้วย ลงจอดที่สนามบิน กระบวนการคัดกรองเฝ้าระวังโรคของไทยก็เริ่มต้นขึ้นทันที ตั้งแต่การกำหนดจุดเข้าจอดเฉพาะเที่ยวบินเหล่านี้  นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) เล่าถึงขั้นตอนการ คัดกรองว่า เมื่อเครื่องบินลงจอด จะมีเจ้าหน้าที่ คัดกรองผู้เดินทางทุกรายที่บริเวณประตูเครื่องบิน เพราะเป็นจุดที่ผู้โดยสารยังไม่ได้สัมผัสกับคนอื่นๆ นอกจากผู้ที่เดินทางมาในเที่ยวบินเดียวกันเท่านั้น โดยใช้เครื่องเทอร์โม สแกน และขณะนี้เพิ่มจุดคัดกรองที่บริเวณก่อนถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองอีกจุดด้วย หากพบว่ามีอาการไข้ จะเชิญตัวไปยังด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศภายในสนามบิน และประสานรถพยาบาลเข้ามารับตัวเป็นการเฉพาะนำส่งโรงพยาบาล เป็นการปิดกั้นผู้ป่วยต้องสงสัยสัมผัสกับคนอื่นน้อยที่สุด
          ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะถูกเรียกว่า "ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สงสัยต้องเฝ้าระวัง" (Patient Under Investigation  :PUI) เพราะเข้าเกณฑ์ 3 ข้อ คือ ไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ และเดินทาง มาจากพื้นที่เสี่ยงโรคระบาด หลังส่งตัวเข้ารับการรักษา ซึ่งในระยะแรกเป็น ที่สถาบันบำราศนราดูร แต่ปัจจุบันโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมีความพร้อมในการรองรับแล้ว "ผู้ป่วยต้องสงสัย" จะถูกนำเข้ารักษาในห้องปลอดเชื้อความดันเป็นลบ ป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปคนอื่น
          แพทย์จะเข้าตรวจรักษาโดยใส่ชุดป้องกันโรค พร้อมกับเก็บตัวอย่างเสมหะส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ วิทยาศาสตร์ (ห้องแล็บ) เพื่อตรวจสอบว่าติดเชื้ออะไรหรือไม่ ซึ่งห้องแล็บ 2 แห่ง คือ กรมวิทยาศาสตร์การ แพทย์ และศูนย์วิทยาศาสตร์ สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะ แพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จะต้องยืนยันผลตรงกันว่าเป็นเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แต่ก็ไม่ได้สรุปในทันทีว่า ผู้ป่วยรายนั้นเป็นผู้ติดเชื้อชนิดนี้
          "การที่กระทรวงสาธารณสุขจะยืนยัน ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 และรายงานไปยังองค์การอนามัยโลก (WHO) ด้วยนั้น ไม่ได้ดูจากผลแล็บเพียงอย่างเดียว จะต้องนำข้อมูลทางระบาดวิทยาและทางคลินิกมาประกอบด้วย ก่อนนำเข้าสู่คณะผู้เชี่ยวชาญของประเทศไทยพิจารณายืนยันในขั้นตอนสุดท้าย จึงจะประกาศได้ว่าไทยพบผู้ป่วยยืนยัน ซึ่งโดยประมาณใช้เวลาอย่างน้อย 5 วันหลังจากรับตัวเข้ารักษา" นพ.สุวรรณชัยกล่าว
          หลังยืนยันผู้ป่วยแล้ว เจ้าหน้าที่จะติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยทุกราย ทั้งคนในครอบครัว ผู้ร่วม เดินทาง ผู้ที่อยู่ใน เที่ยวบินเดียว กัน แพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่ให้ การดูแลรักษาด้วย โดยผู้ป่วยยืนยัน 1 คนจะต้องติดตามเฝ้าระวังในคนอื่นๆ กว่า 40 คน ทั้งหมดนี้ประเทศไทยทำอย่างละมุนละม่อมแต่เด็ดขาด
          "เมื่อผู้ป่วยยืนยัน ได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้น สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ จะต้องมีการเก็บเสมหะส่งตรวจห้องแล็บซ้ำอีกครั้งว่าไม่มีเชื้อแล้ว ซึ่งจะต้องตรวจจนกว่าจะไม่พบแม้แต่สารพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่สามารถแพร่เชื้อได้ แพทย์จึงจะอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ ถ้ายังตรวจพบสารพันธุกรรมแม้คนไข้หายดีแล้วก็ยังไม่ให้ออกจากห้องแยกโรค ส่วนผู้ป่วยต้องสงสัยรายอื่นแม้ไม่ได้เกิดจากไวรัสใหม่ ก็ให้การรักษาจนหายเช่นกัน" นพ.สุวรรณชัยกล่าวย้ำ
          ทว่า หากเป็นผู้เดินทางที่ผ่านการคัดกรองด่านแรกที่ประตูเครื่องบินเพราะยังไม่มีอาการป่วย จะได้รับการแจกการ์ดแนะนำการปฏิบัติตัวกรณีป่วยระหว่างอยู่ในประเทศไทย ซึ่งก็มีผู้ที่ป่วยภายหลังเข้ารับการรักษาใน โรงพยาบาลและแจ้งประวัติการเดินทาง เมื่อ ผู้ป่วยเข้ามารับรักษาก็ดำเนินการเช่นเดียวกัน
          ผู้ป่วย 4 ใน 5 รายที่หายดีและออกจาก โรงพยาบาลแล้วนั้น เข้ารับการรักษาที่สถาบันบำราศนราดูร นพ.อภิชาต วชิรพันธ์ ผู้อำนวยการ สถาบันบำราศนราดูร บอกว่า สถาบันมีการตั้ง คณะแพทย์ 6 คนเป็นทีมดูแลผู้ป่วยต้องสงสัย โดยอาการแรกรับของผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไข้ หายใจเร็วเล็กน้อย ไอนิดหน่อย และ อาการของปอดอักเสบ อาการไม่รุนแรงวิกฤติ ได้ให้การรักษาตามหลักวิชาการของปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส คือ รักษาตามอาการ และ ยังไม่พบการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น เมื่อมีอาการไข้ให้ยาลดไข้ ให้สารน้ำ ให้ออกซิเจนที่เพียงพอ ให้พักผ่อนมากๆ อย่างเพียงพอ เมื่อถึงระยะหนึ่งร่างกายจะสามารถสร้างภูมิมาต่อสู้กับเชื้อได้ ซึ่งระยะเวลาในการรักษา 7-10 วัน รวมถึงระยะเวลาในการรอผล
          แล็บด้วย เมื่อผู้ป่วยหายดีและตรวจไม่พบสารพันธุกรรมเชื้อ แล้วก็จะส่งกลับประเทศจีน โดยมีเจ้าหน้าที่นำไปส่งเป็น การเฉพาะถึงประตูเครื่องบิน
          "ในการดูแลผู้ป่วยยืนยันที่สถาบันบำราศฯ ซึ่งที่เจอมา แล้วเป็นชาวจีนทั้งหมดนั้น ความยากอย่างหนึ่งของแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่ให้การดูแล คือเรื่องของการสื่อสาร แม้จะมีล่ามภาษาจีน
          แต่ก็ต้องเผชิญกับความหวั่นกลัวของผู้ป่วยซึ่งไม่ต้องการที่จะเข้ารับการรักษาในห้องแยกโรคที่จะต้องอยู่คนเดียว เพราะเขาบอกว่าต้องการเดินทางมาท่องเที่ยว ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาโดนกักตัว ทำให้แพทย์ต้องใช้เวลาโอ้โลมปฏิโลมมาก ต้องดูแลแม้กระทั่งการซื้อซิมโทรศัพท์ให้คุยกับญาติ ถามตลอดว่ามีอะไรไม่สะดวกสบายตรงไหนหรือไม่" นพ.อภิชาตกล่าว
          แม้เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 จะยังไม่มียาเฉพาะรักษา แต่ไม่ได้แปลว่าจะรักษาไม่ได้ หรือผู้ป่วยต้องเสียชีวิตทุกราย ดังเช่นที่ประเทศไทยสามารถรักษาผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อที่พบในขณะนี้ได้ทุกราย
          "เมื่อเครื่องบินลงจอด จะมีเจ้าหน้าที่คัดกรองผู้เดินทางทุกรายที่บริเวณประตูเครื่องบิน"

 pageview  1205140    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved