วันที่ 5 พ.ย. นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเด็นใหญ่ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี ยังคงหนักหนาสาหัสอยู่ ระหว่างที่ชาวอเมริกันรอผลการนับคะแนน เมื่อยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายใหม่เมื่อวันพุธที่ 4 พ.ย. พุ่งกระฉูดทะลุแสนคนอีกครั้ง ที่จำนวน 107,800 คน เป็นสถิติผู้ติดเชื้อรายวันที่สูงที่สุด เป็นประวัติการณ์ของประเทศและของโลก สูงกว่าตัวเลขเมื่อวันที่ 30 ต.ค. 101,461 คน ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อสะสมของอเมริกาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 9,801,971 คน เสียชีวิตแล้ว 239,842 และรักษาหาย 6,293,132 คน
          ตัวเลขดังกล่าวเมื่อแยกตามมลรัฐ พบว่า 23 รัฐจาก 50 รัฐ มียอดผู้ป่วยสะสมในช่วงสัปดาห์สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และ 5 รัฐที่มีผู้ติดเชื้อใหม่ทุบสถิติของตัวเอง ได้แก่ เมน มินเนโซตา อินเดียนา เนบราสกา และโคโลราโด ส่วน 5 รัฐที่มีจำนวนผู้ป่วยสะสมสูงสุด อันดับ 1 รัฐเท็กซัส มีผู้ติดเชื้อรวม 988,325 คน เสียชีวิต 18,904 ราย รัฐแคลิฟอร์เนียมี 952,701 คน เสียชีวิตแล้ว 17,816 ราย รัฐฟลอริดาป่วยสะสม 821,123 คน เสียชีวิต 16,922 ราย รัฐนิวยอร์กมี 552,654 คน เสียชีวิตมากที่สุดในประเทศถึง 33,743 ราย และอันดับ 5 รัฐอิลลินอยส์ มีผู้ติดเชื้อแล้ว 443,815 คน เสียชีวิต 10,216 ราย
          จีนยกระดับคุมเข้มกันต่างชาติ
          ด้านจีนมหาอำนาจคู่แข่งสหรัฐที่ควบคุมโรคโควิดได้ดีกว่าหลายประเทศ ล่าสุดทางการประกาศบังคับใช้มาตรการคัดกรองใหม่ต่อกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือบุคคลที่ประสงค์จะเดินทางเข้าประเทศจีน ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 7 พ.ย.เป็นต้นไป นอกจากผู้เดินทางจะต้องแสดงผลตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แล้ว ยังต้องแสดงผลตรวจเลือดเพื่อหาภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) เชื้อโควิด-19 ด้วย
          การตรวจทั้งสองประเภทนี้จะต้องดำเนินการไม่เกิน 48 ชั่วโมงก่อนผู้เดินทางจะโดยสารเครื่องบินมายังจีน ผู้มีผลเป็นลบในการตรวจหาเชื้อทั้งสองแบบจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติโดยสถานทูตหรือสถานกงสุลจีน ซึ่งจะออกเอกสารประทับตรารัฐบาลจีนส่งให้ทางอีเมล์ เพื่อนำไปใช้ในการขอเข้าประเทศ ข้อปฏิบัตินี้บังคับใช้กับผู้เดินทางทั้งโดยตรงไปยังจีน และผู้ที่แวะผ่านประเทศอื่นก่อนเดินทางมายังจีน จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติประทับตราของสถานทูตหรือสถานกงสุลในประเทศนั้นๆ ด้วย
          มาตรการดังกล่าวทำให้สภาหอการค้าแห่งสหภาพยุโรป แถลงตำหนิว่า โดยพฤตินัยแล้วเท่ากับว่าจีนห้ามใครก็ตามที่พยายามกลับไปใช้ชีวิต ทำงาน และอยู่กับครอบครัวในจีนตามปกติ ส่วนการตรวจหาแอนติบอดี ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะไม่มีเหตุผลรองรับ ปกติคนที่มีแอนติบอดีส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อมานานหลายเดือน และไม่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด บางประเทศจึงจำกัดไว้เฉพาะกลุ่มบุคคลเสี่ยงแถวหน้า เช่น บุคลากรทางการแพทย์