อ.วิริทธิ์พล ศรีหามาตย์ (ต้น) ผู้อำนวยการศูนย์แพทย์แผนไทยชมพูจันทน์
สัปดาห์นี้ผมขอพูดถึงอีกหนึ่งศาสตร์ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปัจจุบันนั่นก็คือ "ศาสตร์ดนตรีเพื่อการบำบัดและบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรม หรือเรียกสั้นๆ ว่า ดนตรีบำบัด (Music Therapy)"
ประวัติความเป็นมา
นานนับหลายพันปีมา แล้วที่มนุษย์มีการคิดค้นและพัฒนาด้านเสียงมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเลียนแบบเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงลม เสียงคลื่น เสียงน้ำตก เสียงนกร้อง เสียงใบไม้ไหว จนกระทั่งคิดค้นและประดิษฐ์เป็นเครื่องดนตรี จนถึงปัจจุบันได้มีการคิดค้นและพัฒนาศาสตร์ในการรักษาโรคเรียกว่า ดนตรี บำบัด คือเป็นการนำเอาเสียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติมาประยุกต์เป็นเสียงบรรเลงหรือเสียงดนตรีเพื่อใช้ในการบำบัดและบรรเทาความเจ็บปวดต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสภาวะร่างกายและจิตใจ
ทั้งนี้ ศาสตร์ดนตรีบำบัดนั้นสามารถฟังได้ทุกที่ทุกเวลาตามความเหมาะสมและกาลเทศะซึ่งเทคโนโลยีปัจจุบันก็ช่วยทำให้เกิดความสะดวกสบายในการฟังได้อย่างง่ายดายไม่ยุ่งยากเหมือนสมัยก่อน
ขั้นตอนและวิธีการบำบัด
หากจะพูดถึงขั้นตอนและวิธีการค่อนข้างมีมากมายและหลากหลายวิธีด้วยกัน ขึ้นอยู่กับรสนิยมและความชื่นชอบของแต่ละบุคคล ซึ่งการทำดนตรีบำบัดมักไม่มีรูปแบบที่ตายตัว ทั้งนี้ นักดนตรีบำบัดหรือผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงและดนตรีจะมีการสรรค์สร้างและออกแบบเสียงดนตรีเพื่อให้ตอบสนองแก่อารมณ์ ความรู้สึกความชอบ และความเหมาะสมของผู้เข้ารับการบำบัดในแต่ละรายไป
ดนตรีหรือเสียงเพื่อใช้ในการบำบัดนั้นมีองค์ประกอบหลายอย่างด้วยกัน เช่น
1.จังหวะและลีลา (Rhythm)
2.ระดับเสียง (Pitch)
3.ความดัง (Volume/Intensity)
4.ทำนองเพลง (Melody)
5.การประสานเสียง (Harmony)
ประโยชน์ของการบำบัด
กว่าร้อยละ 90 ขึ้นไปของคนทั่วโลกไม่ว่าเด็กวัยรุ่น ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย ผู้สูงอายุ หรือทุกเพศทุกวัยล้วนแล้วแต่ชอบฟังเพลง ฟังเสียงดนตรีเสียงธรรมชาติ ซึ่งเสียงต่างๆ ที่ได้ยินเหล่านี้จากลผการสำรวจและวิจัยพบว่า เมื่อมนุษย์ได้ยินจะรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ มีความรื่นรมย์ หากสามารถหาฟังได้บ่อยๆ หรือสามารถนำมาประยุกต์เป็นเสียงดนตรีเพื่อการผ่อนคลายอารมณ์และความตึงเครียดของสมองและร่างกายเป็นประจำ ก็จะมีส่วนทำให้อาการปวดตามร่างกายหรือแม้กระทั่งโรคต่างๆ ที่เป็นอยู่อาจจะบรรเทาหรือทุเลาลงได้
เรามาลองดูว่าดนตรีบำบัดช่วยบรรเทาอาการใดได้บ้าง
1.อาการปวดศีรษะจากากรทำงานความเครียดต่างๆ
2.อาการนอนไม่หลับ
3.ปรับสภาพจิตใจและอารมณ์ให้เกิดความสมดุลอยู่เสมอ
4.ผ่อนคลายความตึงเครียดและลดความวิตกกังวลทางด้านอารมณ์และจิตใจ
5.กระตุ้นประสาทสัมผัสให้เกิดการตื่นตัวกระฉับกระเฉงอยู่เสมอ
6.เสริมสร้างสมาธิและเสริมสร้างความจำ ช่วยในการบำบัดโรคเกี่ยวกับสมาธิสั้น
7.ลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
8.มีอารมณ์แจ่มใสเบิกบานอยู่เสมอ ไม่หงุดหงิดง่าย ไม่คิดฟุ้งว่าน
9.ลดภาวะอาการจากความเจ็บปวดต่างๆ ของร่างกาย
10.สลายพฤติรกรมความก้าวร้างหรือรุนแรง
11.เสริมสร้างและพัฒนาทักษะการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดี
12.เสริมสร้างทัศนคติที่ดีต่อตนเองสังคม มองโลกในแง่บวกเสมอ
13.ช่วยชะลอความชราและดูอ่อนกว่าวัย |