ศูนย์สถิติทางสุขภาพแห่งชาติ ในสังกัดของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยผลวิจัยด้านสุขภาพของชาวอเมริกันเมื่อเร็วๆ นี้ แสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าของความพยายามลดปริมาณการบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ด ของประชากรวัยผู้ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาแต่เด็กชาวอเมริกันกลับยังคงบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงมากเกินไป
          การบริโภคอาหารจานด่วนประเภทมันฝรั่งทอด พิซซ่า และอาหารจำพวกเดียวกันนี้ ของประชากรวัยผู้ใหญ่ในสหรัฐเปิดเผยในรายงาน 1 ใน 2 ชิ้นของซีดีซี ซึ่งระบุว่ามีสัดส่วน 11 เปอร์เซ็นต์ของอาหารที่ประชากรอเมริกันวัยผู้ใหญ่บริโภคทั้งหมดโดยเฉลี่ย ในช่วงปี 2550-2553 ลดลงจากในช่วงปี 2546-2549 ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 13 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่รายงานอีกชิ้นหนึ่งกลับชี้ว่าเยาวชนอเมริกันโดยเฉพาะในกลุ่มผิวสียังคงบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ดซึ่งมักมีไขมัน เกลือและแคลอรีมากจนเกินไปเป็นสาเหตุให้เกิดโรคอ้วนตามมา
          รายงานระบุว่าแม้ว่าเด็กอเมริกันจะบริโภคอาหารให้พลังงานลดลงโดยเฉลี่ยแต่อัตราส่วนของพลังงานจากไขมันอิ่มตัวซึ่งเป็นสาเหตุของเส้นเลือดอุดตันยังคงมากเกินไป โดยรายงานระบุว่าเยาวชนอเมริกันยังบริโภคไขมันอิ่มตัวดังกล่าวในอัตราส่วน 11-12 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณแคลอรีทั้งหมดที่บริโภคใน 1 วัน ซึ่งยังคงมากกว่าปริมาณที่แนะนำซึ่งระบุว่าไม่ควรบริโภคมากเกินกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ โดยกลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือเยาวชนอเมริกันผิวสีอายุระหว่าง 20-39 ปี ซึ่งบริโภคอาหารให้พลังงานจากฟาสต์ฟู้ดสูงถึง 1 ใน 5 หรือ 21 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน เทียบกับเด็กผิวขาวและกลุ่มชาวอเมริกันเชื้อสายสเปนในช่วงอายุเท่ากันซึ่งบริโภคในอัตราส่วนเพียง 15 เปอร์เซ็นต์
          ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ประชากร 2 ใน 3 เป็นโรคอ้วนและมีน้ำหนักมากเกินไป ซึ่งเป็นผลมาจากการบริโภคอาหารให้พลังงานสูง รวมถึงชีวิตประจำวันที่ขาดการออกกำลังกายส่งผลให้เกิดโรคอ้วน ก่อให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ เส้นเลือดตีบตันรวมถึงโรคมะเร็งบางชนิดตามมา