Follow us      
  
  

หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 02/08/2564 ]
ล็อกดาวน์14วัน เพิ่มพื้นที่แดงเข้มเป็นจว.29

 เร่งฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง50%
          ล็อกดาวน์14วันเพิ่มพื้นที่แดงเข้มเป็น29จว. เร่งฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง50%
          ผูจัดการรายวัน360 - ยังวิกฤต! ป่วยโควิดเพิ่มอีก 18,027 ราย เสียชีวิต 133 คน นายกฯ ถก ศบค.ชุดใหญ่ เพิ่มพื้นที่สีแดงเข้มจาก 13 จว. เป็น 29 จว. ล็อกดาวน์อีก 2 สัปดาห์ หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ยืดถึงสิ้นเดือน เร่งกระจายวัคซีนกลุ่มเสี่ยง ใน กทม.-ปริมณฑล -จว.แพร่ระบาด ให้ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกระตุ้นภูมิบุคลากรการแพทย์
          ผู้จัดการรายวัน360 - ยังวิกฤต! ป่วยโควิดเพิ่มอีก 18,027 ราย เสียชีวิต 133 คน นายกฯ ถก ศบค.ชุดใหญ่ เพิ่มพื้นที่สีแดงเข้มจาก 13 จว. เป็น 29 จว. ล็อกดาวน์อีก 2 สัปดาห์ หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ยืดถึงสิ้นเดือน เร่งกระจายวัคซีนกลุ่มเสี่ยงใน กทม.-ปริมณฑล-จว.แพร่ระบาด ให้ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกระตุ้นภูมิบุคลากรการแพทย์
          วานนี้ (1 ส.ค.) ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่เพิ่มขึ้น 18,027 ราย เป็นผู้ติดเชื้อใหม่ในประเทศ 18,025 ราย จากต่างประเทศ 2 ราย ตรวจเชิงรุก 2,514 ราย ติดเชื้อในเรือนจำ-ที่ต้องขัง 374 ราย Walk-in 15,137 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 133 คน ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมในช่วงการระบาดระลอกใหม่ ตั้งแต่ 1 เม.ย.-1 ส.ค. 64 มีจำนวน 586,451 ราย เสียชีวิตสะสม 4,896 คน ในจำนวนนี้ มีผู้ป่วยอาการหนัก 4,765 ราย ใช้เครื่องช่วยหายใจ 1,044 ราย
          สำหรับพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อมากสุดยังคงเป็น กรุงเทพฯ 2,899 ราย รองลงมา สมุทรสาคร 1,259 ราย ชลบุรี 1,147 ราย สมุทรปราการ 1,113 ราย นนทบุรี 723 ราย และนครปฐม 426 ราย
          ส่วนผู้หายป่วยจากโควิดในประเทศ ผู้หายป่วยรายใหม่ 13,402 ราย ผู้หายป่วยสะสม 405,541 ราย (ตั้งแต่ 1 เม.ย.-1 ส.ค. 64)
          เพิ่มพื้นที่แดงเข้มเป็น 29 จังหวัด
          พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค. แถลงผลการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค.เป็นประธาน ว่า ใน 1-2 เดือนนี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญ ในการกำหนดมาตรการต่างๆ รวมทั้งการพยายามขอความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งในส่วนของภาครัฐ เอกชน และประชาชน จะทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดผ่านพ้นไปในทิศทางที่เราต้องการเห็นตัวเลขที่ลดลง และสถานการณ์ที่จะดีขึ้น
          ทั้งนี้ ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบหลักการและเหตุผล ในการยกระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร และการปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศพบการระบาดของโรคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล 4 จังหวัดชายแดน ภาคใต้ และภูมิภาคเกือบทุกจังหวัด จึงกำหนดพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จากเดิม 13 จังหวัด ปรับเพิ่มเป็น 29 จังหวัด ดังนี้
          กรุงเทพฯ กาญจนบุรี  ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ตาก นครปฐม นครนายก นครราชสีมา นราธิวาส นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา  เพชรบุรี เพชรบูรณ์  ยะลา ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สงขลา สิงห์บุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี สุพรรณบุรี และ อ่างทอง
          ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) จากเดิม 53 จังหวัด ปรับลดลง เป็น 37 จังหวัด ประกอบด้วย จ.กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครศรีธรรมราช นครสวรรค์  บุรีรัมย์  พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก มหาสารคาม ยโสธร ระนอง ร้อยเอ็ด ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ  สกลนคร สตูล  สระแก้ว สุโขทัย สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุดรธานี อุบลราชธานี และ อำนาจเจริญ         สำหรับพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) จากเดิม 10 จังหวัด ปรับเพิ่มเป็น 11 จังหวัด ประกอบด้วย กระบี่ นครพนม น่าน บึงกาฬ พะเยา พังงา แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน และสุราษฎร์ธานี
          ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) จากเดิม 1 จังหวัด เป็นศูนย์จังหวัด และพื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) คงเดิมคือ ศูนย์จังหวัด
          ประเมินผลล็อกดาวน์ ใน 14 วัน
          สำหรับมาตรการป้องกัน การควบคุมโรคโควิด ตามระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรนั้น พื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จะเพิ่มมาตรการห้ามออกนอกเคหะสถาน ในเวลา 21.00-04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น งดให้บริการขนส่งข้ามเขตจังหวัด และตั้งด่านสกัดระหว่างเขตจังหวัด เพื่อเป็นการจำกัดการเดินทาง  ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 5 คน ร้านสะดวกซื้อ ตลาดโต้รุ่ง ปิด 20.00-04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ร้านจำหน่ายอาหาร และเครื่องดื่ม ไม่อนุญาตให้มีการบริโภคภายในร้าน และ ไม่ให้จำหน่ายสุรา เปิดไม่เกินเวลา 20.00 น. โดยสามารถซื้อกลับบ้านได้
          ส่วนศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า เปิดบริการได้เฉพาะซูเปอร์มาร์เกต และในส่วน ร้านยา เวชภัณฑ์ ซึ่งร้านจำหน่ายอาหาร และเครื่องดื่มในห้าง เปิดขายได้ผ่านระบบ ดีลิเวอรี ให้พนักงานส่งอาหารสามารถส่งอาหารให้กับลูกค้าตามบ้านได้  แต่ลูกค้าเดินมาที่ร้านอาหารแล้วซื้อกลับบ้าน ไม่สามารถทำได้ เปิดได้ไม่เกินเวลา 20.00 น.
          ส่วนร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม สถานที่เล่นกีฬา หรือแข่งขันกีฬา ยังคงปิดให้บริการทั้งหมด ขณะที่สถานศึกษาทุกระดับ และสถาบันกวดวิชา ห้ามใช้อาหารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอน กิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมาก และขอให้ทำงานที่บ้าน (เวิร์ก ฟรอมโฮม) ขั้นสูงสุด 100 เปอร์เซ็นต์
          สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) และพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) ยังคงมาตรการเดิม ทั้งนี้ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 3 ส.ค. และมีระยะเวลา 14 วัน ซึ่งจะมีการประเมินผลในวันที่ 18 ส.ค. อีกครั้ง แต่คงต้องเน้นย้ำ และขอความร่วมมืออย่างสูงสุดในหลายภาคส่วนจะต้องลำบาก และติดขัดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนของผู้ประกอบการโรงงานแคมป์คนงาน แต่ถ้าเราร่วมมือกันอย่างเข้มข้น ข้อกำหนดจะสามารถผ่อนคลายได้หลัง 14 วัน แต่ต้องเผื่อใจไว้ว่า หากสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่อาจจะยืดไปจนถึง วันที่ 31 ส.ค. โดยในช่วง 2 สัปดาห์นี้ เราคงเห็นสถานการณ์ดีขึ้น
          ดูแลเข้มโรงงาน-แคมป์คนงาน
          พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ที่ประชุม ศบค.หารือถึงมาตรการ ยกระดับควบคุมโรค ได้แก่ โรงงาน แคมป์แรงงาน และบริษัท ตามมาตรการ Bubble and Seal โดยเน้นย้ำ 16 จังหวัด ในพื้นที่สีแดงเข้ม เนื่องจากมีการรายงานอย่างต่อเนื่องว่า การระบาดจำกัดอยู่ในโรงงานขนาดกลาง และขนาดใหญ่ โดยมีบุคลากรเกิน 500 ราย รวมถึงมาตรการ ดังกล่าว ครอบคลุมไปยังบริษัท แคมป์คนงาน และโรงงาน ที่ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อและยังไม่มีระบาดด้วย โดยหลักการเน้นจัดกลุ่ม คุมไว ลดแพร่กระจาย และรายได้ไม่สูญเสีย โดย ที่ประชุมตระหนักถึงแรงงาน และสถานประกอบการที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยการออกมาตรการดังกล่าว จะมีการปรับให้มาตรการควบคุมโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะต้อง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กัน
          เร่งฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยงให้ได้ 50%
          ในที่ประชุม ผอ.ศบค. เน้นย้ำว่า จะมีการกระจายวัคซีนให้ครอบคลุมในส่วนของกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดสูง โดยเร่งรัดให้ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ ของประชาชนกลุ่มเสี่ยง คือ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเสี่ยง และหญิงตั้งครรภ์ จึงขอฝากย้ำไปยังจุดฉีดวัคซีนให้มีการบริหารจัดการป้องกันควบคุมโรคตามมาตรฐาน สธ. ส่วนต่างประเทศมีการส่งมอบวัคซีนให้กับไทย โดยสหราชอาณาจักร ได้มีการทำเรื่องเพื่อจะส่งมอบ แอสตร้าเซนเนก้า ให้กับรัฐบาลไทย 415,040 โดส ต้นเดือน ส.ค.นี้
          นอกจากนี้ ที่ประชุมยังพูดคุยถึงการ กระจายวัคซีนไฟเซอร์ในบุคลากรทางการแพทย์ กระตุ้นภูมิเข็ม 3 มีความกังวลว่า การกำหนดเงื่อนไขของ สธ. ครอบคลุมอย่างไร โดยปลัดฯ สธ.ชี้แจงในที่ประชุมว่าในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ ทางกระทรวงได้มีการสำรวจความต้องการ ทั้งกรุงเทพฯ และทุกจังหวัดทั่วประเทศ มีความต้องการวัคซีน ไฟเซอร์ ที่กระตุ้นภูมิเข็ม 4 อยู่ที่ประมาณ 4 แสนกว่าโดส โดยมีผู้ได้รับ แอสตร้าเซนเนก้า ไปแล้ว 1 แสนโดส
          ทั้งนี้ จะมีการกระจายไปยัง แพทย์พยาบาล และ อสม. แต่จะไม่ได้จำกัดเฉพาะแพทย์ที่ดูแลระบบทางเดินหายใจ อายุรแพทย์ หรือ หู คอ จมูก เพราะที่ประชุมสธ.ตระหนักว่า บุคลากรทางการแพทย์เสี่ยงหมด ทั้งผู้ที่ทำงานในห้องคลอด ทั้งกุมารแพทย์ รังสีแพทย์ ทันตแพทย์ หรือแพทย์ฉุกเฉิน ห้องไอซียู ยืนยันว่าจะพิจารณากระจายให้ถึงบุคลากรทางการแพทย์ครอบคลุม และเป็นธรรมแน่นอน.

 pageview  1205105    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved