Follow us      
  
  

หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 16/09/2563 ]
สธ.ขยับกฎเมดิคัลโปรแกรม คลายล็อก เวลเนส รับต่างชาติ

 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยกร่างข้อปฏิบัติ Wellness Quarantine (WQ) เสนอ ศบค.ชุดเล็กพิจารณาคลายล็อกธุรกิจเวลเนสให้สามารถรับลูกค้าต่างชาติจากประเทศที่มีการระบาดต่ำหรือมีความเสี่ยงต่ำในเงื่อนไขเดียวกับกลุ่มเมดิคัลโปรแกรม หวังสร้างรายได้กลับเข้าสู่ประเทศ
          กรุงเทพธุรกิจ ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.มีมติเมื่อต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาอนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้าไทยภายใต้ โปรแกรมเมดิคัลและเวลเนส โดยเริ่มที่ โปรแกรมเมดิคัลก่อนและหากไม่มีปัญหาใดๆ ก็จะขยายเพิ่มในส่วนของโปรแกรมเวลเนสซึ่งเกี่ยวกับกิจกรรมการส่งเสริมสุขภาพ
          ในส่วนของเมดิคัลโปรแกรมซึ่งชาวต่างชาติ เข้ามาตรวจรักษาโรคในสถานพยาบาล ที่ขึ้นทะเบียนทั้งโรงพยาบาลและคลินิกรวม 154 แห่ง โดยได้รักษาเสร็จสิ้นแล้ว 258 คน สร้างรายได้เกือบ 18 ล้านบาท และอยู่ระหว่างที่จะเดินทางเข้ามา 1,028 คนประมาณการรายได้ 56 ล้านบาท
          ศบค.ได้ประเมินผลเบื้องต้นสำหรับ ชาวต่างชาติที่เข้าไทยตามเมดิคัลโปรแกรมนี้ ระบุผลเป็นที่น่าพอใจทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จึงได้ยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมไปยัง ศบค.ชุดเล็ก พิจารณาคลายล็อกให้กับกิจการเวลเนส เช่น สปา ศูนย์ธรรมชาติบำบัด โดยใช้มาตรการคัดกรองที่เข้มงวดเดียวกับเมดิคัลโปรแกรมทั้งก่อนการเดินทางเข้าไทยและระหว่างพำนักในไทย
          ยกตัวอย่างเช่น ชาวต่างชาติที่จะเข้ามาต้องไม่เป็นผู้ป่วยโควิด-19 มีผู้ติดตามได้ ไม่เกิน 3 คน ต้องมีผลแล็บตรวจโควิดล่วงหน้า 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง เดินทางมาทางบก และทางอากาศ หากมาทางอากาศต้องลงที่สนามบินท้องถิ่นเท่านั้น และอนุญาตให้เฉพาะประเทศสีเขียวและสีเหลืองที่มีการระบาดต่ำประมาณ 140 ประเทศตามรายชื่อที่ ศบค.ประกาศอัพเดตทุกๆ 2 สัปดาห์ เป็นต้น
          เสาวภา จงกิตติพงศ์ ผู้อำนวยการกอง สุขภาพระหว่างประเทศ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สบส.ได้นำเสนอแนวทางปฏิบัติสำหรับ Wellness Quarantine (WQ) ให้ ศบค.ชุดเล็ก พิจารณาโดยมีรายละเอียดที่แตกต่างจากกลุ่มเมดิคัลโปรแกรม อาทิ ลูกค้าเดินทางไปสถานประกอบการโดยยานพาหนะที่จัดเตรียมไว้และไม่แวะพักกลางทาง ลูกค้าจะต้องกักตัวอย่างน้อย 14 วันห้ามออกนอกพื้นที่ ระหว่างนั้นก็มีการตรวจเชื้อโควิด-19 รวม 3 ครั้ง
          ภายใน 14 วันที่ถูกกักตัว สามารถทำกิจกรรมด้านสุขภาพตามแผนการรักษาในอาณาบริเวณที่กำหนด หรือการดิลิเวอรี่เซอร์วิสในห้องพัก โดยสถานประกอบการจะต้องจัดระบบรองรับทั้งบุคลากร ระบบงานและโซนพื้นที่แยกจากส่วนให้บริการปกติ รวมทั้งจัดทีมติดตามพร้อมกับ seal ลูกค้าอย่างเคร่งครัดระหว่างทางเดิน เมื่อครบระยะ 14 วันแล้วก็สามารถออกจากโซนกักตัวไปเข้าร่วมโปรแกรมสุขภาพอื่นๆ ตามปกติ ตลอดจนออกเดินทางท่องเที่ยวได้
          สถานประกอบการที่จะเข้าร่วมโปรแกรมจะต้องมีโรงพยาบาลคู่สัญญาอยู่ด้วย รวมทั้งต้องจัดให้มีอุปกรณ์ tracking/tracing ติดตามลูกค้า เช่น สมาร์ทวอทช์หรือสายรัดข้อมือที่มีจีพีเอส และที่สำคัญยังต้องมี ใบอนุญาตประกอบกิจการ 3 อย่าง ได้แก่ ใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการจับคู่กับโรงพยาบาลเพื่อทำหน้าที่ตรวจโควิดพร้อมกับการรักษาพยาบาล
          ถัดมาต้องได้รับใบอนุญาตสถานประกอบการ เพื่อสุขภาพประเภทสหคลินิก เช่น กิจการประเภท เวลบีอิ้ง การแพทย์ทางเลือก เวชศาสตร์ชะลอวัย การรักษาในกลุ่มที่เป็น Cell therapy และ Precision Medicine ตลอดจนศูนย์การพยาบาลแบบองค์รวมและใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.โรงแรม ซึ่งครอบคลุมถึงที่พักในรูปแบบวิลลา รีสอร์ท ที่ไม่ใช่โรงพยาบาล หากผู้ประกอบการมี 3 ใบอนุญาตนี้ก็สามารถลงทะเบียนกับ สบส.เพื่อเข้ามาสู่โปรแกรม WQ นี้ได้
          "สำหรับ WQ  เราประมาณการว่าจะมีชาวต่างชาติเข้าไทยมากกว่า 3,000 คน และเป็นผู้สูงอายุบำนาญอีกประมาณ 1,000 คนสำหรับ long term care  เบื้องต้นจากการคำนวณค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยวหลังจากกักตัวครบ 14 วันก็จะอยู่ท่องเที่ยวต่ออีก 9 วัน พบว่าทั้งเมดิคัลโปรแกรมและเวลเนส โปรแกรมจะสร้างรายได้ทั้งสิ้นถึง 538 ล้านบาท"
          คอนเซปต์หลักของ WQ คือ ชาวต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาแล้ว จะต้องเข้าโปรแกรมกักตัวไม่น้อยกว่า 14 วัน ต่ำกว่านี้ไม่ได้โดยเด็ดขาดในสถานที่ที่กำหนดไว้เท่านั้น และระหว่างการกักตัวจะไม่ได้อยู่เฉยๆ เหมือน state quarantine ทั่วไปแต่ต้องทำกิจกรรมบำบัดรักษาพร้อมไปด้วยในโซนกำหนด จากนั้นเมื่อกักกันตัวครบ 14 วันแล้วตรวจไม่พบโควิด-19 ก็สามารถออกไปข้างนอกพื้นที่ได้ โดยจะมีหนังสือรับรองการกักกันตัว
          จากการสำรวจพบว่า แพกเกจ กิจกรรมด้านเวลเนสส่วนใหญ่ใช้เวลา 7-14 วัน แต่หากเป็น long term care ก็จะอยู่ระยะยาวขึ้นหรืออย่างน้อยใช้เวลาหลายเดือน ดังนั้น หากรัฐบาลเห็นภาพการขับเคลื่อนก็จะมองเห็นโอกาสในธุรกิจเวลเนสกับเมดิคัล ขณะเดียวกันกลุ่มกิจการที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ด้านสมุนไพร ก็ต้องหาช่องทางที่จะเข้ามาปลั๊กอินกับโปรแกรมนี้
          ส่วนการเดินทางเข้าไทยของ ชาวต่างชาติกลุ่มเมดิคัลและเวลเนส ศบค.ยังจำกัดเฉพาะทางอากาศและ ทางบกในส่วนของทางอากาศก็ไม่ซับซ้อน โดยกำหนดให้เข้ามาทางสนามบินท้องถิ่น ขณะที่ทางบกกำหนดให้ผ่านเข้ามาทางด่านตรวจคนเข้าเมือง (ต.ม.) ที่ขณะนี้ ได้รับอนุญาตแล้ว 9 จุดและจะเปิดเพิ่มในอนาคต เช่น ด่าน ต.ม.สะพาน มิตรภาพไทยลาว จ.หนองคาย ด่าน ต.ม.แม่สาย จ.เชียงราย โดยจะจัดหารถไปรับที่ด่านแล้วเดินทางมายังสถานที่เป้าหมาย ส่วนการเดินทางเข้าไทย ทางน้ำหรือทางเรือนั้นยังอยู่ระหว่างศึกษาในรายละเอียด
          "เรากำลังตามหากลุ่มที่ให้บริการด้านคมนาคมขนส่ง ที่เป็นมินิบัสหรือบัสที่มีฉากกั้นระหว่างคนขับกับ ผู้โดยสาร มีห้องน้ำในตัวเพราะตามข้อกำหนดคือห้ามแวะพักระหว่างทางใดๆ ทั้งสิ้นแม้จะเป็นระยะทางไกลจากแม่สายมากรุงเทพฯ โดยเร็วๆ นี้ จะเชิญผู้ประกอบการที่เป็นบริษัท รถโดยสารต่างๆ เข้ามาหารือต่อไป"
          ในส่วนของเมดิคัลโปรแกรม เสาวภา กล่าวว่า มียื่นเสนอขอเข้ามาวันละประมาณ 30-50 คน ส่วนใหญ่เป็นการทำหัตถการทั้งผ่าตัดใหญ่ ผ่าตัดเล็กและผ่าตัดแปลงเพศ ซึ่งเฉพาะชาวญี่ปุ่นยื่นขอทำการรักษานี้ ประมาณ 80 คนทั้งผ่าตัดแปลงเพศจาก ผู้หญิงเป็นผู้ชายและผู้ชายเป็นผู้หญิง ซึ่งต้องอยู่เมืองไทยมากกว่า 14 วัน เมื่อแอดมิด ผ่าตัดที่โรงพยาบาลเสร็จ ก็ต้องตรวจติดตามเป็นรอบๆ อีกทั้งต้องเข้ารับการประเมินด้านสุขภาพจิต กายภาพและฮอร์โมนด้วย เช่นเดียวกับการรักษาภาวะมีบุตรยากก็ต้องเข้ามาทั้งสามีและภรรยา ใช้เวลามากกว่า 14 วันเช่นกันตั้งแต่เตรียมร่างกาย เก็บไข่และฝังตัวอ่อน
          "การขับเคลื่อนโปรแกรมเศรษฐกิจที่ต้องคลายล็อกประเทศเปิดรับ ชาวต่างชาติ เราให้ความสำคัญกับการบาลานซ์ระหว่างการควบคุมโรคระบาดกับเศรษฐกิจโดยดูรายได้รวมทั้งหมด อีกทั้งแสดงให้เห็นบทบาทของ สธ.ในการช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ" เสาวภา กล่าว
          มาตรฐานสถานกักกัน'รพ.ทางเลือก'
          กรุงเทพธุรกิจ นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ได้อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ ในขั้นต่อไปในการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคม ภาครัฐได้มีการผ่อนปรนให้บุคคลบางประเภทเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ซึ่งประเทศไทยนั้นนับได้ว่าเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางด้านสุขภาพเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จึงมีผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพและจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องประสงค์จะเข้ามารับการรักษาพยาบาลในไทย
          ดังนั้นเพื่อการตรวจคัดกรอง และเฝ้าระวังโรคโควิด-19 ตามหลักเกณฑ์และแนวทางการควบคุมป้องกันโรคอย่างเป็นระบบ กรม สบส. จึงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำโครงการสถานกักกันในโรงพยาบาล ทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) ขึ้น เพื่อกักกันตัวผู้ป่วยชาวต่างชาติรวมถึง ผู้ติดตาม ซึ่งจะต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลตามที่ได้มีการนัดหมายไว้ล่วงหน้า และไม่มีอาการป่วยด้วยโรคโควิด-19
          โดยใช้สถานพยาบาลเอกชนที่รัฐกำหนดเป็นสถานที่กักกัน เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคโควิด-19 พร้อมกับการรักษาพยาบาลตามกลุ่มโรค/ อาการ/ หัตถการที่นัดหมาย ตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่รัฐกำหนด และจะต้องชำระค่าใช้จ่ายเอง ทั้งหมดระหว่างการรักษาพยาบาลและกักกันตน โดยพิจารณาการนัดหมายจาก ผู้ป่วยและผู้ติดตาม ในกลุ่มประเทศสีเขียวและสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการนัดหมาย ผู้ป่วยและผู้ติดตามจากกลุ่มประเทศสีแดง
          ซึ่งการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยผู้ป่วยและผู้ติดตามจะต้องแสดงเอกสารและหลักฐานตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กำหนด อาทิ ใบรับรองแพทย์ กรมธรรม์ที่ครอบคลุมโรคโควิด-19 ที่มีวงเงินไม่น้อยกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ผลตรวจโรคโควิด-19 ที่ออกให้ก่อนเดินทางล่วงหน้าไม่เกิน 72 ชั่วโมง ฯลฯ และเมื่อเดินทางเข้ามาในประเทศแล้วสถานพยาบาลจะมารับตัวผู้ป่วยและผู้ติดตามไปกักกันตัว ณ สถานพยาบาลเป็นระยะเวลา ไม่น้อยกว่า 14 วัน ในระบบปิด
          พร้อมทำการตรวจคัดกรองโรคโควิดตามระยะเวลาที่กำหนด รวม 3 ครั้ง (ก่อนรักษา ระหว่างรักษา และหลังการรักษา) และรายงานอาการของผู้ป่วยและผู้ติดตามทุกวัน หากพบอาการของโรคโควิด-19 จะมีการแจ้งไปยังสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และกรมควบคุมโรคในพื้นที่โดยทันที
          ทั้งนี้ได้มีการประเมินสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง หากพบว่าผู้ป่วยและผู้ติดตามจากประเทศใดมีความสุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการของโรคโควิด-19 ก็จะมีการแจ้งเวียนไปยังสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการให้ชะลอการรับผู้ป่วยและผู้ติดตามจากประเทศนั้นๆ
          ซึ่งล่าสุดก็ได้มีการแจ้งเวียนให้ชะลอการรับผู้ป่วยและผู้ติดตามจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าในช่วงนี้ เนื่องด้วยมีสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 จึงขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าการดำเนินงานของสถานกักกันในโรงพยาบาลทางเลือก จะไม่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค โควิด-19 อย่างแน่นอน ด้วยทั้งภาครัฐและเอกชนมีการดำเนินการป้องกัน ควบคุมโรคตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด

 pageview  1204954    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved