เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีกลุ่มคนร้ายยกพวกตีกันภายในห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลอ่างทอง แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจและ รปภ.กว่า 10 นาย พยายามห้ามปรามแต่ไม่สำเร็จ จนตำรวจต้องเรียกกำลังเสริมเข้ามาห้ามวัยรุ่นทั้ง 2 กลุ่ม เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองอ่างทอง และชุดสืบสวน ภ.จว.อ่างทอง ออกหมายจับพร้อมควบคุมตัวนายนันทวัช หรืออาร์ม สร้างเขต, นายบุญประสิทธิ์ หรือต้น วีระพงศ์ และนายธนาธิป หรือเอ็ม มุรินทร์จันทร์ ในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือใจ และร่วมกันบุกรุกเข้าไปในสถานที่ราชการ โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายในเวลากลางคืน โดยร่วมกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป จากนั้นเจ้าหน้าที่จะรวบรวมพยานหลักฐาน อาจจะมีการออกหมายจับเพิ่ม ส่วนนายประภาส ลี้สุทธิพรชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอ่างทอง เข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองอ่างทอง
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองอ่างทอง พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.สุภธีร์ บุญครอง ผบก.สส.ภ.1 และรอง ผบก.สส.ภ.1 ที่รับผิดชอบพื้นที่ จ.อ่างทอง เดินทางมาติดตามคดีวัยรุ่นยกพวกตีกันภายในโรงพยาบาลอ่างทอง ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติย้อนหลัง 7 ปี ตั้งแต่ปี 2555-2562 เกิดเหตุรุนแรงในโรงพยาบาล 51 ครั้ง เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 13 คน ส่วนประชาชนเสียชีวิต 7 ราย และบาดเจ็บ 43 คน ยอดสูงสุดคือปี 2561 รวม 17 ครั้ง รองลงมาคือปี 2562 จำนวน 12 ครั้ง
          ที่ จ.กาญจนบุรี นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงเหตุการณ์กลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุทะเลาะวิวาทใน รพ.อ่างทอง ว่า จะต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุดเพื่อไม่ให้มีการกระทำความผิดซ้ำอีก และได้ออกนโนบายกำชับผู้อำนวยการของ รพ.ทุกแห่งแล้วว่าจะต้องมีมาตรการความปลอดภัยในกรณีเช่นนี้ คือ หากมีกรณีที่คนไข้มาห้องฉุกเฉินใน รพ.จากเหตุทะเลาะวิวาทแล้วนั้น ทางเจ้าหน้าที่จะต้องมีการแจ้งสัญญาณเตือนไปยังสถานีตำรวจที่ใกล้เคียง เพื่อให้มีการส่งกำลังตำรวจมาควบคุมสถานการณ์ภายในห้องฉุกเฉิน ทั้งนี้ รพ.จะต้องมีความพร้อมในการดูแลสถานที่ เช่น การตรวจสอบกล้องวงจรปิด การจัดตั้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและคัดกรองคนไข้จากเหตุทะเลาะวิวาท เป็นต้น
          "เหตุการณ์เช่นนี้จะไม่มีการประนีประนอมกรณีใดๆ สธ.ไม่สามารถระบุโทษได้เนื่องจากเป็นดุลพินิจของศาล แต่การกระทำเช่นนี้เป็นการก่อเหตุภายในสถานที่ราชการ ดังนั้น สธ.จะต้องแจ้งโทษของความผิดให้หนักกว่าเหตุการณ์ทั่วไป เพราะถือว่าเกิดอันตรายแก่บุคลากรและคนไข้คนอื่นภายใน รพ. ไม่มีละเว้นโทษใด ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของอายุผู้ก่อเหตุหรือเรื่องอื่น แต่ต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้มีการก่อเหตุการซ้ำขึ้นอีก" นายสาธิตกล่าว