Follow us      
  
  

หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 28/08/2562 ]
ดีเดย์1ต.ค.ผู้ป่วย บัตรทอง รับยาจาก 500ร้าน แทนรพ.

กรุงเทพธุรกิจ เปิดทางเลือกให้ปชช.ผู้ป่วย บัตรทองรับยาจากร้านขายยาแทน รพ.ได้ เริ่ม 1 ต.ค. นำร่อง 50 รพ.-500 ร้านทั่วประเทศ เบื้องต้น เน้น 4 โรคเรื้อรัง ขณะที่ สธ.เผยพบผู้ป่วยกว่า 19 ล้านคนครอบครองยาเกินจำเป็น มูลค่าสูญเสีย ทางการคลัง 2.3 พันล้าน
          วานนี้(27 ส.ค.) นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวในการเป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง การลดความแออัดในโรงพยาบาล โดยร้านยาแผนปัจจุบัน(ข.ย.1)ตามนโยบายของ รมว.สาธารณสุขว่า เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล โดยเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน ใกล้บ้านใกล้ใจ ใช้คลินิกหมอครอบครัว และอีกรูปแบบ คือ การใช้ร้านขายยาแผนปัจจุบันที่มีคุณภาพ มีเภสัชกรที่ผ่านการอบรมเปิดบริการ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ได้รับยานานได้รับผลกระทบ เชื่อมโยงระบบออนไลน์ระหว่างโรงพยาบาลขนาดใหญ่และร้านขายยา ข.ย.1ปัจจุบันมีอยู่ราว 17,000 ร้าน
          นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) กล่าวว่า การให้ผู้ป่วยในสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทองนำใบสั่งยาจากรพ.ไปรับยาที่ร้านขายยาคุณภาพที่มีเภสัชกรประจำเข้าร่วมโครงการแทนการรอรับยาที่ รพ. เป็นทางเลือกให้กับประชาชนได้เข้าถึงบริการสะดวกมากขึ้น เพราะเป็นการรับยาจากร้านยาในชุมชนใกล้บ้านใกล้ใจ ซึ่งจะเป็นยาแบบเดียวกันกับ รพ.ทุกอย่าง
          อีกทั้ง มีเวลามากขึ้นในการที่จะให้เภสัชกรได้อธิบายการใช้ยากับผู้ป่วย โดยจะเริ่มดำเนินการในวันที่ 1 ต.ค.2562 ใน โรงพยาบาล 50 แห่งที่ส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลศูนย์(รพศ.) โรงพยาบาลทั่วไป(รพท.)ซึ่งมีผู้ป่วยเข้ารับบริการจำนวนมาก และ 500 ร้านยา ทั่วประเทศ
          เบื้องต้นจะดำเนินการในส่วนของโรคที่ป่วยต้องรับยาต่อเนื่องและโรคเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง จิตเวช และหอบหืด ประมาณการว่าจะมีผู้ป่วยเลือกมารับยาที่ร้านยาราว 2 ล้านครั้ง จากที่มีการใช้บริการที่ รพ.7 ล้านครั้ง โดยคาดว่าจะผู้ป่วยไปรับยาที่ร้านยา ร้านละ 15 คนต่อวัน
          นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวอีกว่า ในส่วนของการบริหารจัดการ ในระยะแรกคือในปีงบประมาณ 2563 จะใช้งบฯที่เหลือจากการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในปีที่ผ่านมา จำนวน 150 ล้านบาท ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงบประมาณเหมาจ่ายรายหัว โดยน่าจะจ่ายเพิ่มเติมให้รพ.ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อเป็นค่าบริหารจัดการยาแห่งละ 30,000 บาทต่อปี และให้ร้านยา 70 บาทต่อผู้ป่วย 1 คน
          แต่จะต้องมีการหารือรายละเอียดในหลักเกณฑ์อีกครั้งว่าเป็นตัวเลขที่ทุกฝ่ายพอใจหรือไม่ ก่อนจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.)ในวันที่ 2 ก.ย.2562 เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ในการดำเนินการ ส่วนงบประมาณที่จะดำเนินการโครงการในปีต่อๆไปอาจจะต้องตั้งเป็นงบประมาณเฉพาะ ที่ขอเพิ่มเติมประมาณการว่า จะอยู่ที่ 800 ล้านบาทต่อปี
          "การที่ผู้ป่วยจะมารับยาที่ร้านยาที่เปรียบเสมือนห้องยาของ รพ.ได้นั้น ผู้ป่วยจะต้องเข้าระบบของ รพ.ก่อน ในการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์แล้วมีใบสั่งยามาแสดงที่ร้านยา หรือเป็นผู้ป่วยที่แพทย์มั่นใจแล้วว่าสามารถคุมโรคหรืออาการที่เป็นได้ ซึ่งจะมีเกณฑ์ในการพิจารณาหลังจากผู้ป่วยไปรับการตรวจที่รพ.แล้ว ครั้งต่อไปก็อาจจะมารับยาที่ร้านยาได้เลย โดยที่ร้านยามีการเชื่อมต่อข้อมูลออนไลน์กับรพ. ซึ่งคนไข้ที่ไปรพ.100 คนจะเป็นกลุ่มโรคเรื้อรัง 60-70 % และประเมินว่าในจำนวนนี้จะเลือกมารับยาที่ร้านยาใกล้บ้านราว 30 % ก็จะช่วยลดความแออัดของรพ.ไปได้ และผู้ป่วยก็มีความสะดวกมากขึ้นในการรับบริการ"นพ.ศักดิ์ชัยกล่าว
          ด้าน นพ.ธีรพงศ์ ตุนาค ผู้อำนวยการ กองบริการการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.) กล่าวว่า จากผลการศึกษาการดูแลรักษาพยาบาลตนเองของประชาชนไทย โดยการซื้อยาจากร้าน ขายยาแผนปัจจุบัน พบว่า ประชาชนที่ เจ็บป่วยโดยไม่ต้องนอนรพ.มีการดูแลตนเอง โดยซื้อยาแผนปัจจุบันมารักษาตนเอง ไม่ไปสถานบริการทางการแพทย์ 27.2 % หรือราว 3.3 ล้านคน มีสาเหตุคือไม่มีเวลาไปรับการรักษา ไม่สะดวกในการเดินทาง ไม่มี ผู้พาไปรับการรักษา ไม่มีค่าเดินทาง ไปรับการรักษา เป็นต้น
          นอกจากนี้ พบว่า ผู้ป่วยกว่า 40 % มีปัญหาจากการใช้ยาที่บ้านเอง ได้แก่ การใช้ยา ไม่ถูกต้องตามแพทย์สั่ง การได้รับยาในขนานที่ต่ำหรือสูงเกินไป หรือมีการบริหารยาฉีด/ยาพ่น ด้วยตนเองไม่ถูกต้อง และ ผู้ป่วยมีการครอบครองยาเกินความจำเป็น ส่งผลให้ยาเหลือใช้ ยาเสื่อมสภาพ และยาหมดอายุที่บ้านจำนวนมาก และจากประมาณการในระดับประเทศ พบว่าผู้ป่วย 19.2 ล้านคน ครอบครองยาเกินจำเป็น โดยคิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางการคลัง 2,349 ล้านบาท หรือ 1.7 %ของอัตราการบริโภคยาทั้งหมดของประเทศ

 pageview  1204382    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved