ความสุขและทุกข์ของคนทำงาน
|
แม้อัตราการวางงานจะเริ่มลดลงและระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังจะดีขึ้น แต่สภาวะทางการเมืองที่ขัดแย้ง รวมทั้งราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้นอยู่เรื่อยๆ นั้น นอกจากจะส่งกระทบต่อผู้ประกอบการแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงานทั้งหลายด้วย
มรสุมที่กลุ่มคนในวัยทำงานกำลังประสบกันอยู่ในวันนี้ ได้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นราคาสินค้าต่างๆ ที่ไม่สอดคล้องกับค่าจ้างที่แท้จริง ตลอดจนความไม่มั่นคงในอาชีพและการมีรายได้ที่ไม่แน่นอน ปัญหาทั้งมวลนี้กำลังบั่นทอนสภาพจิตใจของคนในวัยแรงงาน โดยมีข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นถึงความสุขและทุกข์ของกลุ่มแรงงานดังนี้
อัตราการฆ่าตัวตาย |
|
ปัญหาการฆ่าตัวตายเป็นตัวสะท้อนที่ทำให้เห็นถึงการมีภาวะความเครียด โดยแนวโน้มของผู้ที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่ คือ กลุ่มคนในวัยทำงาน โดยเฉพาะคนที่อยู่ในช่วงอายุ 25-59 ปี
1. ช่วงอายุที่มีการฆ่าตัวตายสูง
ข้อมูลจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข แสดงให้เห็นแนวโน้มปัญหาการฆ่าตัวตายของประชากรในกลุ่มคนวัยต่างๆ ตั้งแต่ปี 2548-2553 พบว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มวัยรุ่นตอนต้นกับกลุ่มวัยทำงาน กลุ่มคนในวัยทำงานอายุระหว่าง 15-59 ปี เป็นกลุ่มคนที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุด 7.1 ต่อแสนประชากร สาเหตุของการฆ่าตัวตาย คือ ความเครียด รองลงมา คือ โรคซึมเศร้า ติดยาเสพติด และการเจ็บป่วยทางกาย
ทั้งนี้ในจำนวนกลุ่มคนวัยทำงาน กลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 25-59 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 4.6 ต่อแสนประชากร มากกว่ากลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 15-29 ปี ซึ่งมีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 2.2 ต่อแสนประชากร ซึ่งสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้วัยรุ่นฆ่าตัวตายมากที่สุด คือ ผิดหวังในเรื่องความรัก ประสบกับปัญหาการเล่าเรียน และปัญหาทางด้านครอบครัว (ดังตารางที่ 1)
|
ตารางที่ 1 อัตราตายจากการฆ่าตัวตาย จำแนกตามกลุ่มอายุปี 2548-2553
ที่มา : สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข อ้างใน ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่ และภาพรวมปี 2553 |
2. สัดส่วนของเพศในกลุ่มวัยแรงงานที่มีการฆ่าตัวตายสูง
นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงเกือบ 4 เท่าตัวของการฆ่าตัวตายของทุกปี โดยข้อมูลล่าสุดของอัตราการฆ่าตัวตายในเพศชาย คือ ร้อยละ 77.1 ส่วนอัตราการฆ่าตัวตายในเพศหญิงอยู่ที่ ร้อยละ 22.4 (ดังภาพที่ 1))
|
ภาพที่ 1 สัดส่วนการฆ่าตัวตายของวัยแรงงานอายุ 15-59 ปี จำแนกเพศ 2542-2553
ที่มา : สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข อ้างใน ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่ และภาพรวมปี 2553
การประกอบอาชีพและมิติของความสุข |
|
สำนักงานสถิติแห่งชาติได้เปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวกับคะแนนสุขภาพจิต โดยเก็บรวบรวมข้อมูลในเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2551 จากจำนวนครัวเรือนตัวอย่างประมาณ 27,000 ครัวเรือน เพื่อให้ทราบถึงสภาพของสังคมไทยเกี่ยวกับพฤติกรรม ค่านิยม วัฒนธรรม และสุขภาพจิตของคนไทย พบว่า อาชีพข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจเป็นกลุ่มอาชีพที่มีสุขภาพจิตดีกว่าอาชีพอื่น เพราะมีความมั่นคงในการประกอบอาชีพ โดยมีคะแนนสุขภาพจิตสูงสุดอยู่ที่ 33.8 จากคะแนนเต็ม 45 คะแนน รองลงมาคือ นักเรียน (32.6 คะแนน) ผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว (32.2 คะแนน) และเกษตรกร (32.1) ส่วนอาชีพที่มีสุขภาพจิตต่ำกว่าอาชีพ คือ อาชีพรับจ้างรายวัน เพราะเป็นอาชีพที่ไม่มีความมั่นคงและมีรายได้ที่ไม่แน่นอน (ดังภาพที่ 2) 9
ภาพที่ 2 คะแนนสุขภาพจิตคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป จำแนกตามอาชีพปี 2551
(คะแนนเต็ม 45 คะแนน)
ที่มา : รายงานการสำรวจสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม สำนักงานสถิติแห่งชาติ อ้างใน ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่ และภาพรวมปี 2553
นักวิชาการส่วนใหญ่กล่าวไว้ว่า ปัญหาการฆ่าตัวตายนั้นเป็นความสูญเสียทั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานซึ่งถือเป็นผู้ที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ฉะนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรหันมาให้การอบรมส่งเสริมความรู้ พร้อมกับสร้างทักษะในการแก้ไขปัญหาชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานที่มีความยากลำบากและไม่มีความมั่นคงในชีวิต อย่างเช่น กลุ่มแรงงานรับจ้างรายวัน
|
เรียบเรียงโดย : |
สิริกร เค้าภูไทย สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ |
|