พิมพ์ไทย [ วันอังคาร ที่ 11 เดือนมกราคม 2554 ]
ผู้ป่วยจิตเวชประกันสังคมเฮ!!ใช้สิทธิค่ารักษาได้เต็ม


ข้อมูลจาก กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าปี 2552 ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยทางจิตมากถึง 1,440,393 ราย โดยพบว่าอัตราผู้ป่วยที่มาใช้บริการในสถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ ทั้งในสถานบริการเฉพาะทางด้านสุขภาพจิต และในสถานบริการสาธารณสุขทั่วไป มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี เฉลี่ยแล้วจะสูงถึงร้อยละ 3.05 ต่อปี ซึ่งจะมีทั้งผู้ป่วย โรคจิต โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคปัญญาอ่อน โรคลมชัก ผู้ติดสารเสพติด พยายามฆ่าตัวตายหรือฆ่าตัวตายสำเร็จ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตอื่ๆ

นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่าการเจ็บป่วยด้วยโรคทางจิตในทางการแพทย์ถือว่าเป็นอาการเจ็บป่วยอย่างหนึ่งที่ควรจะได้รับการคุ้มครองสิทธิค่ารักษาในระบบประกันสังคมเหมือนการเจ็บป่วยด้วยโรคทางกายอื่นๆ แม้ว่าที่ผ่านมา การรักษาผู้ป่วยทางจิตจะสามารถรักษาด้วยยาได้แล้วก็ตาม แต่ยาที่ใช้รักษาเช่น รีสเพอร์โดน (Risperidone) โอลันซาปีน (Olanzapine) มีราคาแพงมาก ถึงเม็ดละ 60-200 บาท และการที่ผู้ป่วยโรคทางจิตที่ประกันตนในระบบประกันสังคมถูกจำกัดสิทธิด้านค่ารักษาพยาบาล โดยจะได้รับการคุ้มครองเฉพาะผู้ป่วยโรคจิตเฉียบพลันได้ไม่เกิน 15 วัน เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านงบประมาณซึ่งมีเพียงปีละ 4-5 ล้านบาทเท่านั้น เป็นระยะเวลาที่สั้นมากการรักษาแทบจะไม่เกิดผลในทางที่ดีกับผู้ป่วยเลย ทั้งๆผู้ป่วยได้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมไปทุกเดือน ข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้ผู้ป่วยหลายรายไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายได้ บางคนจึงต้องหยุดยา การรักษาจึงไม่ต่อเนื่อง จนอาการกำเริบ ไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมตามปกติได้ต่อไป ทำให้มีหน่วยงานและองค์กรต่างๆลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิของผู้ป่วยโรคจิต

"จากการที่ภาครัฐเห็นความสำคัญของปัญหาการเจ็บป่วยด้วยโรคทางจิตและได้ให้ทางสำนักงานประกันสังคมอนุมัติงบประมาณในวงเงิน 115 ล้านบาทเพื่อการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ทางการแพทย์ ให้ผู้ประกันตนได้รับการคุ้มครองสิทธิด้านการรักษารักษาพยาบาลแบบไม่จำกัดเงื่อนไข ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปี 2554นี้ ถือว่าเป็นข่าวดีและเป็นของขัวญปีใหม่ที่มีคุณค่ายิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคจิตทุกคนที่จะได้เข้าสู่ระบบการคุ้มครองสิทธิที่ถูกต้องเหมาะสมสามารถรักษาได้ทันเวลาและหายขาด เพื่อกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี และได้ใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนเดิมิ

นอกจากนี้ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ยังได้เผยถึงเคล็ดลับที่ช่วยทำให้มี

ความสุขและมีสุขภาพจิตที่ดีมอบเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชนชาวไทยทุกคน ด้วยหลักง่ายๆ 3 ข้อ คือ "ทำใจ-ทำกาย-ทำบุญ" 1. ทำใจ คือ ฝึกการควบคุมจิตใจของตนเอง ด้วยการควบคุมความคาดหวัง โดยอย่าตั้งความคาดหวังที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จหรือเป็นไปไม่ได้ ควรตั้งความคาดหวังที่เป็นชิ้นเล็กๆ และเป็นบันไดต่อเนื่องกันขึ้นไป 2.ทำกาย คือการดูแลสุขภาพกายของตนเองจะส่งผลให้มีสุขภาพจิตที่ดีตามไปด้วย นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพราะหากนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้สุขภาพจิตเสียได้ง่าย เช่น หงุดหงิดง่าย สมาธิไม่ดี ความจำความพร้อมในด้านต่างๆลดลง และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอซึ่งออกกำลังกายทางจิตวิทยานั้น หมายถึงการทำร่างกายให้กระฉับกระเฉงขึ้นเพื่อส่งผลให้ลดอารมณ์ทางด้านลบและเพิ่มอารมณ์ด้านบวกให้มากขึ้น มีหลักฐานมากมายที่ยืนยันว่า การออกกำลังกายช่วยในเรื่องอารมณ์ และลดอาการซึมเศร้า และช่วยให้จัดการกับอารมณ์เศร้าได้ดีขึ้น ซึ่งการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มระดับของสารเคมีในสมองหรือสารสื่อประสาทที่ปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นอย่างเช่น เอนดอร์ฟิน (endorphins) ช่วยคลายกล้ามเนื้อ หลับลึกขึ้น ลดฮอร์โมนความเครียด และมีผลให้จิตใจสงบขึ้น3.ทำบุญ คือ การเข้าวัด ฟังธรรม นั่งสมาธิหรือรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆด้านจิตอาสาจิตสาธารณะ เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นที่ยากลำบากกว่าเรา จะทำให้เราได้รับความสุขทางใจ และผู้ได้รับการช่วยเหลือก็จะได้รับความสุขเช่นกัน การทำบุญเพื่อให้จิตใจแจ่มใสนั้นมีผลวิจัยว่าการทำบุญจะช่วยให้มีความสุขซึ่งส่งผลดีต่อสภาพจิตใจได้




 










 


หน้าแรก | เกี่ยวกับแผนงาน | เครือข่ายและกิจกรรม | ผลผลิตและรายงาน | ข้อมูลสถิติ | การจัดการความรู้ | หน่วยงาน | ติดต่อแผนงาน | เจ้าหน้าที่ดูแลระบบ
แนะนำแผนงาน | ข่าวกิจกรรม | เกาะติดกิจกรรมเด่น | หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | ผลผลิตและรายงาน| รายงานสุขภาพ| ก้าวใหม่กับ HISO | สถานการณ์สุขภาพประเทศไทย
การวิเคราะห์สถานการณ์สุขภาพ | สถานการณ์ข่าวสุขภาพ | เรื่องเล่าข่าวสุขภาพ | สื่อข้อมูลสุขภาพ | แบบสำรวจสุขภาพ | webbord | คำถามที่พบบ่อย | สมุดเยี่ยมชม | บริการข้อมูล