|
|
|
ผู้จัดการรายวัน [ วันที่ 30/03/2560 ] |
|
|
|
|
เกาะติดสถานการณ์โลกร้อน ประเทศไทยเร่งเครื่องลดเต็มที่ |
|
|
|
|
เผยติวเลขการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อบก.ปลื้มประเทศไทยได้เกินเป้าจาก 7% เป็น 10%
ชี้ปัจจัยสนับสนุนทั้ง 3 ด้าน "รัฐ-เอกชน-ประชาชน" เดินหน้าเตรียมความพร้อมเซ็กเตอร์ต่างๆ ทั้งอุตสาหกรรม-เกษตร-ป่าไม้
สถานการณ์โลกยังแย่ อุปสรรคใหญ่ "เทคโนโลยี-เงิน-การพัฒนาศักยภาพ"
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในวันนี้ สำหรับประเทศไทยทำได้สำเร็จก่อนด้วยการลดก๊าซเรือนกระจกได้แล้ว 24 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ทั้งที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2020 โดยลดได้ถึง 10% จากเป้าหาย 7% แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของการสะสมเพื่อให้ถึงเป้าหมายที่เรียก NDC ซึ่งประเทศไทยจะลดได้เท่าไรนั้น ทางอบก.ได้ร่วมสนับสนุนสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม ฯลฯ ร่วมกันพิจารณาโรดแมปการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยที่รัฐบาลได้กำหนดไว้แล้วเมื่อต้นปีนี้ว่าจะมีการวางระบบการประเมินผลและติดตามอย่างไร นี่คือความเคลื่อนไหวล่าสุดของสถานการณ์การลดโลกร้อนของประเทศไทย โดยนางประเสริฐสุข จามรมาน ผู้อำนวยการองค์กรบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
สำหรับโรดแมปที่ชัดเจนออกมาแล้วว่าประเทศไทยจะพยายามลดได้ที่ 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี 2030 มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยได้ช่วยกันวางแผนว่าเส้นทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายนั้น ว่าแต่ละเซ็กเตอร์ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างไรและเท่าไร ยกตัวอย่าง อุตสาหกรรมที่เข้าร่วมในเรื่องนี้อย่างชัดเจน เช่น อุตสาหกรรมผลิตปูนซิเมนต์ซึ่งมีตัวเลขเป้าหมายว่าจะต้องพยายามลดลงให้ได้ 3 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เป็นต้น
ประเทศไทยมีทิศทางดีเพราะประเทศไทยตื่นตัวและให้ความสำคัญคั้งแต่ระดับนโยบาย โดยรัฐบาลให้การสนับสนุนเรื่องนี้อย่างชัดเจนว่าประเทศไทยต้องดำเนินการอย่างจริงจังไม่เพียงการเสนอตัวเลขเป้าหมายเท่านั้น แต่ต้องมีการติดตามและประเมินผลความสำเร็จว่ามีมากน้อยเพียงใด ส่วนปัจจัยที่สนับสนุนให้ประเทศไทยน่าจะลดก๊าซเรือนกระจกได้ตามเป้าหมาย ได้แก่ หนึ่ง - ในระดับนโยบายของประเทศมีการกำหนดแผนงาน โดยแผนยุทธศาสตร์พลังงานทั้ง 7 แผนซึ่งมีการกำหนดเป้าหมายและมาตรการสนับสนุนหลากหลายรูปแบบไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเซ็กเตอร์พลังงานเป็นเซ็กเตอร์ใหญ่ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก
สอง - ภาคธุรกิจ เช่น อุตสาหกรรมซิเมนต์ซึ่งมีการรวมกลุ่มกันค่อนข้างเข้มแข็งอยู่แล้วมองว่าน่าจะสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ 3 แสนตัน เพราะทุกวันนี้อุตสาหกรรมซิเมนต์ดำเนินการต่างๆ ในเรื่องนี้มากมายและถูกกำหนดด้วยมาตรฐานระดับโลกอยู่แล้ว รวมทั้ง การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในกระบวนการผลิตต่างๆ การจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอีกเป็นล้านตัน จึงเป็นเรื่องยากมาก
สาม - ภาคประชาชน แม้ว่าจะมีการตื่นตัวและรับรู้มากขึ้น โดยเฉพาะในเขตเมืองและชุมชนเมืองในต่างจังหวัด แต่ในภาพรวมยังไม่ได้มีการตระหนักและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมากพอหรือทำอย่างจริงจัง เช่น การปรับเปลี่ยนการใช้หลอดไฟไปใช้แบบแอลอีดี การลดปริมาณขยะในครัวเรือน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกำลังมีการแก้ไขข้อจำกัดต่างๆ เพื่อให้ภาคประชาชนที่ตระหนักและต้องการทำอย่างจริงจังได้มากขึ้น เช่น กฎระเบียบในการติดตั้งโซลาร์รูปที่ทำให้เกิดความสะดวกในการดำเนินการมากขึ้น การดำเนินการด้านระบบขนส่งมวลชนทางรางที่ภาครัฐกำลังพัฒนาขึ้น ประกอบกับประชาชนหันมานิยมใช้รถสาธารณะมากขึ้น เช่น แท็กซี่และรถไฟฟ้า แทนการใช้รถยนต์ส่วนตัวดังนั้น ภายใน 4-5 ปีข้างหน้าการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคคมนาคมขนส่งน่าจะบรรลุผลแน่นอน
เตรียมความพร้อมเซ็กเตอร์
ในการใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น สินค้าที่มีฉลากคาร์บอนฟุคพรินท์ เป็นต้น ผู้ผลิตสินค้าสามารถบอกตัวเลขการใช้ก๊าซฯ carbon reduction หรือการทำโครงการลดการปล่อยก๊าซฯ ที่ได้รับการรับรองว่าเป็น TVER Credit หรือ Thailand Voluntery Emission Reduction Credit ซึ่งหมายถึงว่าโรงงานหรืออุตสาหกรรมหรือกิจกรรมที่ทำอยู่นั้นมีความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมโดยหลักใหญ่มาจากการลดการใช้พลังงานและสามารถคำนวณได้ว่าช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไร
ในส่วนที่มีการรับรองการทำความดีเหล่านี้ ไม่เพียงเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว ยังมีการรายงานตัวเลขเหล่านี้สู่สาธารณชน เช่น บริษัทในตลาดหลักทรัพย์มีตัวเลขหนึ่งที่ต้องรายงานคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งหากลดจากกิจกรรมใดได้ เช่น Carbon Disclosure Project หรือ CDP ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ได้รับความสำคัญ หรือใน World Business Council ซึ่งมี DJSI (Down Jones Sustainability Index) และที่สำคัญยิ่งขึ้นคือมีการรายงานตัวเลขเหล่านี้สู่ต่างประเทศ สำหรับผู้สนใจลงทุนในประเทศไทยที่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมด้วย นอกจากเรื่องกำไรขาดทุนในธุรกิจ ดังนั้น หากองค์กร ธุรกิจต่างๆ สามารถลดก๊าซเรือนกระจกลงได้จะเป็นการส่งเสริมการลงทุนได้มากยิ่งขึ้น แต่ในทางตรงข้าม หากไม่สามารถลดได้จะเกิดผลกระทบ เพราะฉะนั้นประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม
สำหรับเซ็กเตอร์เกษตรกรรมเนื่องจากภาวะเรือนกระจกหรืออุณหภูมิที่สูงขึ้นของโลกส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร สำหรับอบก.ได้ร่วมมือกับกรมส่งเสริมวิชาการเกษตรในการช่วยลดภาวะโลกร้อนด้วยการส่งเสริมเกษตรรูปแบบใหม่ๆ เช่น มีการตรวจวัดกิจกรรมทางการเกษตรต่างๆ ว่าสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เท่าไหร่ อย่างวิธีการปลูกพืชแบบใหม่ การใช้ดินที่ถูกวิธีและการเลี้ยงปศุสัตว์อย่างถูกวิธี นอกจากนี้ ต้องให้ความสำคัญกับเซ็กเตอร์สาธารณสุขเช่นกัน เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นช่วยให้เชื้อโรคบางอย่างเติบโตได้เร็ว โดยในก้าวต่อไปอบก.จะมีความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อประเมินตัวเลขการลดก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ ที่ทางกระทรวงฯ ดำเนินการอยู่
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการต่างๆ ที่ออกมาสนับสนุน เช่น เซ็กเตอร์ป่าไม้มีมาตรการสนับสนุนการปลูกป่า เพราะยิ่งสามารถรักษาพื้นป่าไม้ได้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ยิ่งช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้น ขณะที่ป่าไม้มีประโยชน์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งหนึ่งในโครงการที่อบก.ดำเนินการร่วมกับกรมป่าไม้และเอกชนส่วงเสริมให้มีการปลูกป่าหรือรักษาป่าที่มีอยู่นอกจากนี้ มีอีกหนึ่งโครงการที่ดำเนินการไปเมื่อปีที่แล้วคือ "ภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน" ซึ่งเป็นป่าที่มีประชาชนอาศัยอยู่โดยรอบ เป็นผู้ใช้ประโยชน์และดูแลรักษาป่า โดยมีการเชิญชวนภาคเอกชน 3 รายแรก มาร่วมสนับสนุนดำเนินโครงการนำร่องในเรื่องนี้ ได้แก่ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นการศึกษาว่าระบบสนับสนุนนี้จะนำไปสู่การพัฒนารูปแบบแรงจูงใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้อย่างไรหรือไม่
ทั้งนี้ ล่าสุด รัฐมนตรีว่การกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมปรึกษาหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรววงการคลัง มีความเห็นว่ามาตรการที่อบก.ดำเนินหารมานั้นมีความน่าสนใจ และกรมสรรพากรเป็นผู้รับมอบหมายไปดำเนินการต่อและน่าจะออกเป็นกฎษฎีกาให้เอกชนที่ดำเนินการสนับสนุนในเรื่องนี้สามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ โดยมีหน่วยงานคืออบก.และกรมป่าไม้ให้การรับรอง ดังนั้น การอแอกมาตรการเช่นนี้จะช่วยให้ธุรกิจหรือองค์กรเอกชนต่างๆ เข้ามาร่วมสนับสนุนได้มากขึ้น ซึ่งไม่เพียงการช่วยลดก๊าซเรือนกระจก แต่การดูแลรักษาป่ายังช่วยในเรื่องภัยพิบัติต่างๆ และอนุรักษ์ฟื้นฟูธรรมชาติ เช่น ป้องกันน้ำท่วม และช่วยให้ฝนตกตามฤดูกาล เป็นต้น
"นอกจากการส่งเสริมให้ภาคส่วนต่างๆ พยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ carbon sink เช่น การปลูกป่า เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งในปีนี้จะมีการเชิญชวนภาคเอกชนอีกหลายราย เพราะป่าชุมชนมีมากมายประมาณ 8-9 พันราย ซึ่งหากช่วยได้เท่ากับการช่วยให้ชุมชนหรือประชาชนมีส่วนร่วมในการรักษาป่าได้อย่างมาก นอกากนี้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยก็มีความสนใจจะปลูกป่าในพื้นที่ของตนเอง โดยเสนอให้ภาครัฐออกมาตรการสร้างแรงจูงใจซึ่งอยู่ในระหว่างการหารือร่วมกัน"
นอกจากนี้ อีกหนึ่งโครงการที่ดำเนินการไปแล้วและมีการตอบรับจากท้องถิ่นอย่างดี โดยความร่วมมือกับกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นให้การสนับสนุนในเรื่อง Low Carbon City ซึ่งปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดูแลเทศบาลทั่วประเทศมีความเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว ด้วยการเข้าไปให้ความรู้และมีเทศบาลที่สนใจเข้าร่วมโครงการซิตี้คาร์บอนฟุตพรินท์ เพื่อช่วยให้ท้องถิ่นรู้ว่ากิจกรรมต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไร เพื่อให้รู้ตัวเลขชัดเจนและสามารถนำไปดำเนินกิจกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างถูกต้อง โดยมีเทศบาลจำนวนมากเข้าร่วม เช่น กรุงเทพมหานคร และภูเก็ตดำเนินการเสร็จแล้ว
อย่างไรก็ตาม การสร้างการรับรู้ (awareness) ยังเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องดำเนินการต่อไป เนื่องจากถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทยและมีประชาชนจำนวนมากที่ยังไม่รู้ ทั้งที่เรื่องเหล่านี้ต้องมีการสื่อสารและประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจอย่างมาก นับตั้งแต่ระดับเยาวชนขึ้นมา
สำหรับการดำเนินการที่ผ่านมาโดย Climate Change International Training Center ซึ่งเป็นสถาบันหรือหน่วยฝึกอบรมที่ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการปัญหาโลกร้อนหรือก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้มาตรการด้านการเงินหรือเศรษฐศาสตร์ เรื่องคาวมยั่งยืนเรื่องการใช้กลไกต่างๆ เป็นต้น โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลณี่ปุ่นผ่าน JICA มา 6 ปีแล้ว และกำลังจะได้รับการสนับสนุนต่อไปโดยจะมีการลงนามการสนับสนุนในเร็วๆ นี้ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์การฝึกอบรมของภูมิภาคอาเซียนโดยให้ความรู้กับประเทศต่างๆ ในอาเซียนอย่างจริงจัง ซึ่งการดำเนินการที่ผานมาได้ผลอย่างดีโดยเฉพาะจากการตอบรับของประเทศกลุ่มCLMV ซึ่งนับเป็นกลยุทธ์ที่จะนำพาไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีต่อไป
ชึ้เรื่องท้าทายคือระบบรายงานฯ
เรื่องท้าทายที่สุดอยู่ที่การทำระบบรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเนื่องจากปัจจุบันเป็นการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบสมัครใจโดยไม่มีการรายงานว่าใครปล่อยเท่าไรทั้งๆ ที่ข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญมากเพราะถ้ามีข้อมูลที่ถูกต้องจะสามารถกำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนาประเทศได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่เอกชนในประเทศไทยเห็นด้วยในเรื่องการมีกฎหมายหรือกฎระเบียบในการปฏิบัติสำหรับเรื่องนี้แต่ต้องมีชั้นความลับ
อย่างไรก็ตาม อบก.และสผ.กำลังพิจารณาในเรื่องนี้ เช่น จะนำกลไกใดมาใช้จึงจะเหมาะสม ควรจะกำหนดเพดานการปล่อยจากเซ็กเตอร์ใดบ้าง ตามหลักสากลในหลายประเทศที่ใช้ market mechanism อย่างในปีนี้จีนจะมีการกำหนดเพดานในการปล่อยหากใครปล่อยเกินจะต้องซื้อเครดิตเพื่อมาชดเชย หรือเดิมเม็กซิโกใช้มาตรการทางภาษีใครปล่อยเกินต้องเสียภาษีเพิ่ม แต่ปัจจุบันเริ่มมองว่าไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรเพราะไม่ยืดหยุ่นส่วนไทยจากที่มีมาตรการทางภาษีสำหรับรถยนต์ ยังพิจารณามาตรการอื่นๆ ฯลฯ แต่จำเป็นต้องสร้างการยอมรับจากทุกภาคส่วนเพราะแม้จะมีภาคเอกชนที่ขานรับแต่เป็นเพียงกลุ่มที่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลอยู่แล้วเนื่องจากเป็นองค์กรขนาดใหญ่และอยู่ในเวทีการค้าโลก ยังมีเอกชนจำนวนมากที่ไม่ต้องการ
ที่สำคัญต้องพัฒนาศักยภาพของเอกชนไปพร้อมๆ กัน เพราะก่อนจะไปถึงการกำหนดเพดานต้องมีการเก็บข้อมูลการตรวจวิเคราะห์ วิธีการประเมินความถูกต้อง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ทั้งต่อเอกชนเองและภาครัฐ ดังนั้น การสร้างความพร้อมของประเทศไทยไปทีละขั้นเพราะเมื่อถึงเวลาจะมีการใช้มาตรการใดหรือไม่ก็ไม่เป็นไร เนื่องจากมีความพร้อมอยู่แล้ว ปัจจุบันมีบริษัทที่เข้าร่วมในโครงการของอบก.เพื่อเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้อยู่แล้ว
"ทุกโครงการหรือกลไกที่พัฒนาขึ้นมาได้รับการตอบรับดีมาก เพราะกลุ่มเป้าหมายมองว่าเป้นเรื่องที่ทำให้ได้ประโยชน์ต่อตนเอง ไม่ใช่เรื่องของการบังคับให้ทำหรือรู้ แต่เป็นเรื่องที่ควรรู้หรืออยากจะรู้สำหรับโรงงานต่างๆ ที่เคยมองว่าเป็นภาระแต่เมื่อเห็นโรงงานอื่นๆ ทำแล้วได้ประโยชน์จึงหันมาทำบ้าง เพราะได้เรียนรู้วิธีการที่สามารถนำไปจัดการได้อย่างถูกต้อง"
ภาพรวมของสถานการณ์โลกร้อนในวันนี้ หลังจากความตกลงปารีสในปี 2015 หรือ COP 21 ซึ่ง 187 ประเทศ ทั่วโลก ลงนามว่าจะช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2030 แต่ปรากฎว่าเป้าหมายที่ประเทศต่างๆ เสนอไปในครั้งนั้นยังทำให้อุณหภูมิโลกในวันนี้เพิ่มขึ้น 2.7 องศา ทั้งๆที่เป้าหมายรวมคือไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศา และถ้าเป็นไปได้ไม่อยากให้เกิน 1.5 องศาจะยิ่งดี อย่างไรก็ตาม สหประชาชาติได้ร้องขอว่าเป้าหมายที่ประเทศต่างๆ มีการเสนอไว้นั้น ขอให้ทุกประเทศทำอย่างจริงจัง และหลังจากการลงนามความตกลงปารีสประมาณ 5 ปี จะมีการทำ Global Stock Change เพื่อเป็นข้อมูลให้ได้รู้ว่า อุณหภูมิของทั้งโลกลดลงได้เท่าไร
อย่างไรก็ตาม การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในวันนี้ยังทำได้ไม่ดี เพราะแม้ว่าประเทศที่มีความพร้อม เช่น กลุ่มสหภาพยุโรป และกลุ่มประเทศสแดนดิเนเวีย จะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเข้มข้นจริงจัง แต่ยังมีประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ได้ทำอย่างจริงจัง อีกทั้ง ประเทศอื่นๆ เกือบสองร้อยประเทศที่ตั้งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกแล้วแต่ยังมีอุปสรรคมากมายโดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น ดังนั้น ประเทศเหล่านี้จึงร้องขอใน 3 เรื่องคือ เรื่องเทคโนโลยี เรื่องเงิน และเรื่องการพัฒนาศักยภาพ ซึ่งแม้ว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะยินดีช่วย แต่การจะดำเนินการในเรื่องต่างๆ เหล่านั้นต้องใช้เวลาพอสมควร เพื่อพัฒนาไปด้วยกัน
สำหรับแนวโน้มการลดก๊าซเรือนกระจกมีทิศทางที่ดีขึ้นเนื่องจากประเทศจีนมีท่าทีและมาตรการต่างๆ ในเรื่องนี้อย่างชัดเจนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนสหรัฐอเมริกา แม้ว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่สนับสนุนการลดโลกร้อนแต่เป็นเรื่องภายในประเทศ เพราะจะอย่างไรสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถถอนตัวจากความตกลงปารีส 2015 หรือ COP 21 ที่ได้มีการลงนามไปแล้วไม่ได้ เพราะมีการเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าประเทศใดที่จะถอนตัวจากความตกลงนี้สามารถทำได้หลังจาก 3 ปี นับจากการลงนาม และต้องใช้เวลาอีก 1 ปี จึงจะถอนตัวออกไปได้จริง รวมแล้วต้องใช้เวลาทั้งหมด 4 ปี ดังนั้น สหรัฐฯ คงจะไม่ถอนตัวจากความตกลงปารีส และหากสหรัฐฯ ไม่สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดภาวะโลกร้อนสหรัฐฯ จะกลายเป็นประเทศที่ล้าสมัย และจะทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศในยุโรปและจีน ซึ่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง |
| | |
|
| |
|
pageview 1204268 |
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO) ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th | | |
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved
|
| |