"น.พ.สุรวิทย์คนสมบูรณ์"หนุนไทยเป็นเมดิคัลฮับยันแต่ต้องรักษาสมดุลระหว่างต่างชาติกับคนไทยโดยเห็นว่าพร้อมทั้งสองด้านชี้เป็นการเพิ่มวันพักนักท่องเที่ยวและพัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์ขณะที่ม.ขอนแก่นเล็งชงงบผุดศูนย์แพทย์มูลค่า4พันล้าน ครม.สัญจรหวังเป็นศูนย์กลางภาคอีสาน
จากแนวคิดในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์หรือเมดิคัลฮับผนวกไปกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทยกระทั่งถึงรัฐบาลเพื่อไทยได้นำเรื่องนี้บรรจุอยู่ในนโยบายของพรรคแต่เหตุที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากลับอยู่ในมือของพรรคร่วมรัฐบาลชาติไทยพัฒนา ส่งผลให้นโยบายดังกล่าวไม่คืบหน้าเท่าที่ควรทั้งที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายจะหารายได้จากการท่องเที่ยว2 ล้านล้านบาทในปี 2558 และเมดิคัลฮับ ถือเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันในการหารายได้เข้าประเทศเพิ่มอีกช่องทางหนึ่ง
ต่อเรื่องนี้ น.พ. สุรวิทย์ คนสมบูรณ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ" ว่าเมดิคัลฮับเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะให้คนต่างชาติที่เข้ามาในไทยได้รับการรักษาพยาบาลและถือเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวไทยที่จะพยายามขยายเวลาวันพักของต่างชาติในเมืองไทยโดยสร้างความเชื่อมั่นให้คนต่างชาติเห็นว่าประเทศไทยมีมาตรฐานการรักษาพยาบาลที่ดีทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่ดีมากในภูมิภาคนี้
"เราถึงเอาแนวคิดทั้งสองอย่างมาผสมผสานกันและเพิ่มวันพักจากปกติอาจจะเป็น90 วัน เพราะการมารักษาพยาบาลในเมืองไทยไม่ได้มาคนเดียวแต่ต้องมีญาติและผู้ติดตามมาด้วยซึ่งจะมีการแนะนำโปรแกรมการเดินทางท่องเที่ยวคนป่วยก็จะนอนรักษา ญาติก็ไปเที่ยว รายได้ก็จะตามมา ส่วนการรักษาพยาบาลก็ต้องใช้เทคโนโลยีทันสมัยใช้วิชาการแพทย์ชั้นสูง มีการดูแลเป็นพิเศษต้องการฝึกอบรมบุคลากรพิเศษทางการแพทย์ขึ้นมารองรับซึ่งเท่ากับจะเป็นการฝึกผู้เชี่ยวชาญไปด้วยในตัว"
น.พ.สุรวิทย์ ยังกล่าวยอมรับว่าเรื่องนี้ต้องระมัดระวังถ้ารักษาคนต่างชาติต้องอย่าลืมคนไทยก็จะต้องทำพร้อมๆ เอาเงินของต่างชาติมาพัฒนาบุคลากรไปในตัว แต่ก็ไม่ถึงกับแย่งจากที่เคยรักษาคนไทย เป็นสิ่งที่เราคำนึงส่วนการบริหารอาจจะเป็นเชิงธุรกิจคือแยกออกมาในเชิงธุรกิจ เหมือนเอกชนหรือไม่ต้องดูกันอีก แต่เท่ากับเปิดทางให้แพทย์ที่รับราชการเอาเวลาที่ว่างมาทำงาน หรือแพทย์ที่เกษียนแล้ว ซึ่งมีประสบการณ์สูงได้เข้ามาช่วย ถ่ายทอดวิชาการขณะนี้โรงพยาบาลหลายแห่งตื่นตัวทั้งภาคเอกชนและส่วนราชการก็มีมหาวิทยาลัยมหิดลใช้งบเป็นหมื่นล้านบาทเปิดศูนย์แพทย์ศิริราช ม.สงขลานครินทร์ก็เริ่มแล้ว
นอกจากนี้จากการเข้าร่วมประชุมครม.สัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้มีการนำเสนอโครงการศูนย์การแพทย์ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการ 2,500 ล้านบาท เพื่อลงทุนทางด้านสร้างอาคารอุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ซึ่งมีแนวคิดมาเป็นสิบปีแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้า ซึ่งถ้าดำเนินการได้ก็จะเกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายการรักษาพยาบาลกับโรงพยาบาลเอกชนในเชียงใหม่ และภาคเหนือเป็นต้นซึ่งจะมีสานต่อในรัฐบาลนี้ เพราะงบประมาณจะเป็นการทยอยตั้งต่อเป็นรายปี
อีกทั้งก่อนหน้าที่มีการประชุมครม.สัญจรที่จังหวัดขอนแก่นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ ตนและผู้บริหารของสภาพัฒน์ได้เดินทางไปประชุมร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อเตรียมที่จะเสนอสร้างศูนย์การแพทย์ชั้นสูง ใช้งบประมาณ4,000 ล้านบาท โดยงบ 2,400 ล้านบาท จะขอรัฐบาลในการประชุมครม.สัญจรส่วนอีก1,600 ล้านบาท เป็นเงินสมทบ โดยจะเป็นงบต่อเนื่องเป็นปีๆไปถ้าโครงการนี้เกิดขึ้นได้จะเป็นประโยชน์ในการเชื่อมโยงการรักษาพยาบาลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในอนาคตก็ไม่จำเป็นต้องส่งเข้ามารักษาที่กรุงเทพฯและภาคนี้จะมีประชากร 1 ใน 3 ของประเทศ ก็ควรให้โอกาสได้รับการรักษาพยาบาลที่ดี
รมช. กระทรวงสาธารณสุขยังกล่าวอีกว่า ในนามรัฐบาลจะสนับสนุนให้มีศูนย์บริการทางการแพทย์ระดับสูงและเห็นความสำคัญของการเป็น เมดิคัลฮับ ที่ต้องมีการพัฒนาบุคลากรไปเรื่อยๆ ทั้งยังป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสมองไหล เป็นการเพิ่มรายได้ เพราะถ้าเปิดเสรีการค้าอาเซียน(เออีซี)อาจจะมีการดึงตัวบุคลากรทางด้านนี้ซึ่งเราต้องพร้อมที่จะป้องกันปัญหาสมองไหล
"เรื่องนี้ท่านรมต.ได้เดินหน้าทำแผนมาพอสมควรผมเองก็ต้องสอดคล้องในฐานะหน่วยงานปฏิบัติ ยังเห็นว่าควรที่ยกมาตรฐานด้านสมุนไพรไทยแพทย์แผนโบราณ ยา โดยให้มีผลการวิจัยรองรับให้ชัดเจนเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งและยังจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ของไทยได้ในอนาคตก็จะออกไปต่างประเทศเหมือนอย่างประเทศจีน มีการจัดโปรแกรมพานักท่องเที่ยวไปทัวร์ตรวจสุขภาพฟรีแต่ยาแพงมากบางคนซื้อมาไม่ใช้ซึ่งเรื่องนี้จะต้องหารือกับรมต.ต่อไป"
นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาในเรื่องการอำนวยความสะดวกสบายรองรับทั้งการขยายวีซ่าการบริการด้านอุปกรณ์แพทย์ รถพยาบาล ตั้งแต่สนามบิน มีคนที่มีความรู้ด้านภาษาไปรับ มีการฝึกภาษาให้แท็กซี่ การจัดหาที่พักให้ญาติ เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น รวมถึงการจัดแพ็กเกจสำหรับการตรวจสุขภาพ(เช็กอัพ) พร้อมรายการท่องเที่ยว เราจะพัฒนาขึ้นมาอีกแบบแต่ไม่ถึงกับเอกชนเพราะมีระเบียบแพทย์ที่มารักษาจะแยกส่วนหรือรวมกันแต่ตอนนี้จะคุยกันอยู่
อย่างกรณีของศูนย์แพทย์เชียงใหม่จะสามารถรองรับคนพม่า หรือศูนย์แพทย์ขอนแก่นก็ยังสามารถรองรับคนลาวเวียดนาม แม้ยังไม่เปิดเออีซี ยังไม่เป็นเมดิคัลฮับก็มีประเทศเพื่อนบ้านเข้ามารับการรักษาพยาบาลอยู่แล้วส่วนของคนไทยก็ยังมีการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ในตำบล โดยจะมีแพทย์หมุนเวียนกันไปช่วยตรวจรักษาเพื่อช่วยลดจำนวนคนไข้ที่จะเข้ามารักษาโรงพยาบาลในจังหวัดจะมีการพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาลและจะมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปรองรับด้วย น.พ.สุรวิทย์ กล่าวในที่สุด
อนึ่งกรมส่งเสริมการส่งออกและกรมสนับสนุนบริการสุขภาพระบุว่าจำนวนผู้ป่วยต่างชาติตั้งแต่ปี2544 ที่เข้ามาตรวจรักษาในเมืองไทยมีจำนวน550,161 คน แต่ไม่มีการประมาณการรายได้
ปี 2546 มีจำนวน 973,532 คนประมาณการรายได้110,058 ล้านบาทกระทั่งมาปี 2552 มีจำนวน 1,390,000 คน ประมาณการรายได้ 108,197 ล้านบาท ปี 2553 มีจำนวน 1,500,000 คนประมาณการรายได้ 147,000 ล้านบาท