|
|
|
โพสต์ทูเดย์ [ วันที่ 06/09/2556 ] |
|
|
|
|
กระดูกพรุนมฤตยูเงียบในกายเรา |
|
|
|
|
ภาวะโรคกระดูกพรุน หรือกระดูกผุกำลังส่อเค้ารุนแรง กลายเป็นปัญหาสุขภาพระดับโลก เนื่องจากมีข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ระบุว่า โรคกระดูกพรุนจากสถิติทั่วโลก ทุกๆ 3 วินาที จะมีคนกระดูกหัก 1 คน และในทุกๆ 22 วินาที จะมีคนกระดูกสันหลังหักเพิ่มอีก 1 คน
โอ้ว!! นี่คือปัญหาระดับโลกที่ไม่ควรมองข้ามได้เลย แม้เป็นโรคที่ดูเหมือนไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่ก็สร้างความเจ็บปวดทุกข์ทนกับการดำรงชีวิตประจำวันได้เช่นกัน จนแพทย์ต้องแนะนำให้ป้องกันตั้งแต่อายุ 30 ปี ด้วย
การกินแคลเซียม และวิตามินดี มูลนิธิโรคกระดูกพรุนฯ ออกโรงเตือนสถานการณ์โรคกระดูกพรุนในประเทศไทยว่าเป็นภัยเงียบที่พร้อมจะคุกคามชีวิตผู้ป่วย โดย
ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาต่อคนสูงถึง 3 แสนบาทต่อปี จึงให้ป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ ตั้งแต่
อายุย่างเข้า 30 ปี เพราะเป็นช่วงที่เนื้อกระดูกเริ่มเสื่อม
รายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO)พบว่า สถิติผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก และกลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุขอันดับ 2 รองจากโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด โดยโรคนี้เกิดขึ้นกับผู้หญิง 1 ใน 3 ที่มีช่วงอายุระหว่าง 60-70 ปี และ 2 ใน3 ของผู้มีอายุมากกว่า 80 ปี
ที่สำคัญ อายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆประมาณการว่า มีผู้หญิงมากกว่า 200 ล้านคนทั่วโลก ต้องทุกข์ทรมานจากโรคนี้ โดยผู้หญิงที่มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า และหากยิ่งเป็นผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อัตราการเกิดโรคจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 4 เท่า รวมทั้งผู้ที่ต้องกินยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์เป็นประจำ
สถานการณ์โรคกระดูกพรุนในเมืองไทยเป็นเรื่องที่พูดถึงกันมานานแล้วแต่น้อยคนที่จะทราบว่าโรคนี้เป็นภัยเงียบที่อาจส่งผลเสียและอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับโรคนี้ให้ดีขึ้นก่อน
โรคกระดูกพรุนคืออะไร
ข้อมูลจากหน่วยการศูนย์ฟื้นฟู สภากาชาดไทย และมูลนิธิโรคกระดูกพรุน บอกไว้ว่า โรคกระดูกพรุน คือ โรคที่เกิดกับกระดูก โดยที่มวลกระดูกมีความหนาแน่นลดลง เพราะมีการสูญเสียหรือการตายของกระดูกมากกว่าการสร้างกระดูก ทำให้เนื้อกระดูกมีความบางโปร่ง จนถึงพรุน และแตกหักได้ง่าย
กระบวนการสูญเสียมวลกระดูกจะค่อยๆเกิดขึ้น โดยผู้ป่วยไม่มีโอกาสรู้ตัวมาก่อน และจะทราบว่าได้เป็นโรคนี้ ก็ต่อเมื่อกระดูกเกิดการแตกหัก
คนไทยจะมีการสูญเสียของเนื้อกระดูกในอัตราเร็วเท่ากับชาวตะวันตก แต่เนื่องจากเรามีความหนาแน่นของเนื้อกระดูกน้อยกว่า ทำให้ความเสื่อมไปได้ไวกว่าโดยขณะที่คนไทยจะมีเนื้อกระดูกหนาแน่นเต็มที่ตอนอายุ 30 ปีหลังจากนั้นจะเริ่มเสื่อมลงเรื่อยๆโดยผู้หญิงจะเสื่อมเร็วกว่าผู้ชายที่ราว0.97 ก./ตร.ซม.ฉะนั้นคนไทยจึงสูญเสียเนื้อกระดูกถึงจุดหักเองได้เร็วกว่าชาวตะวันตก โดยเมื่อกระดูกบางเหลือ 70% ซึ่ง ณ จุดนี้ ชาวตะวันตกจะมีอายุ70 ปีขึ้นไป แต่ของคนไทยจะอยู่ที่อายุประมาณ 64-65 ปีเท่านั้น แต่ถ้าเป็นผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจะเริ่มตอนอายุ 48 ปีขึ้นไปหรือในคนสุขภาพไม่ดี เช่น เป็นภูมิแพ้ไทรอยด์ รูมาตอยด์ ตัดมดลูก ตัดรังไข่ อาจจะเริ่มเสื่อมตั้งแต่วัย30 ต้นๆ
โรคกระดูกพรุนมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อเช่นกระดูกผุ กระดูกโปร่งบาง เป็นโรคที่กระดูกมีมวล หรือเนื้อน้อยลง ทำให้กระดูกเปราะบางและแตกหักง่าย โดยโรคนี้จะไม่ปรากฏอาการผิดปกติใดๆ กว่าจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อมีการแตกหักของกระดูก แม้ได้รับการกระทบกระแทกเพียงเบาๆ โดยจุดที่มีการแตกหักบ่อยๆ ได้แก่กระดูกสันหลัง สะโพก และข้อมือ ดังนั้นหากหกล้มอย่าเอาข้อมือลงรับน้ำหนัก
อาการทั่วไปมักจะเป็นอาการปวดในกระดูก โดยเฉพาะปวดกระดูกสันหลัง ต่อมาเมื่อกระดูกสันหลังเริ่มทรุดจะพบความผิดปกติของกระดูกสันหลังร่วมด้วย เช่น กระดูกสันหลังคด โค้งงอมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับตัวเตี้ยลงทุกๆ ปี ถ้าผู้สูงอายุตัวเตี้ยลงปีละ 1 นิ้วเกิดจากกระดูกสันหลังทรุด และอาการที่มักพบได้บ่อยๆ คือ กระดูกหักง่าย โดยเฉพาะที่ข้อมือ และสะโพกที่หักได้ง่าย บางรายถึงขั้นทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต เนื่องจากอาการแทรกซ้อนจากกระดูก
เลี่ยงมฤตยูเงียบ
นพ.กฤษดา ศิรามพุชผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า การจะหลีกเลี่ยงไม่ให้กระดูกพรุนเมื่อสูงอายุจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตั้งแต่เกิดจนล่วงเข้าสู่วัยชรา โดยแบ่งเป็น 3 ช่วง
ช่วงแรก-แรกเกิดจนอายุ 30 ปีช่วงนี้จะต้องส่งเสริมให้คนมีเนื้อกระดูกหนาแน่นมากที่สุด โดยให้ดื่มนมรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
ช่วงหลังอายุ 30 ปีจะต้องป้องกันไม่ให้สูญเสียเนื้อกระดูกอย่างเต็มที่ โดยการดื่มนมวันละ500 ซีซี และรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง ออกกำลังกายกลางแดด วันละ 30 นาที ช่วง 6 โมงเช้า-9 โมงเช้า หรือ 3 โมงเย็น-6 โมงเย็น อาหารที่มีแคลเซียมสูง คือ ปลาร้าสุก กะปิ ปลาป่น กุ้งแห้งป่น พวกผัก และงาดำมีแคลเซียมสูง
ระยะสุดท้าย-'วัยทอง'เป็นช่วงที่ร่างกายขาดฮอร์โมนเพศ ซึ่งมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง คือ คอยยับยั้งการสลายกระดูก ฉะนั้นเมื่อขาดฮอร์โมนเพศการสลายกระดูกจึงเพิ่มขึ้นมาก จนทำให้สูญเสียเนื้อกระดูกปีละ 3-5% ช่วงนี้จึงต้องทำการรักษาเต็มที่ คือ ต้องหาทางยับยั้งการสลายกระดูกด้วยยาชนิดต่างๆ และยังต้องดื่มนมวันละ500 ซีซี ร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง ออกกำลังกายกลางแดดช่วงเช้า-เย็น วันละ 30 นาที ถ้าไม่สามารถตากแดดได้ ต้องรับประทานวิตามินดีเสริมด้วยนอกจากนี้ยังมีวิตามินซี บี6 และเค2 หรือกินแคลเซียมวันละ 600 มิลลิกรัม ที่จะช่วยในการสร้างกระดูกด้วย
ปัจจัยที่ทำให้กระดูกบาง
นอกจากการเตรียมร่างกายตั้งแต่อายุก่อน30 ปี เพื่อเลี่ยง-ลดความเสี่ยงการเป็นโรค
กระดูกพรุนแล้ว ยังควรเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้กระดูกเสื่อมคุณภาพด้วยเช่นกัน
-ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เพศ เพศหญิงกระดูกบางได้เร็วและมากกว่าเพศชายถึง 5 เท่า เพราะเพศหญิงมีโครงสร้างกระดูกที่บางและเบากว่า นอกจากนี้เมื่อผู้หญิงขาดฮอร์โมนเพศในช่วงระยะเวลาหมดประจำเดือน จะยิ่งทำให้ร่างกายสูญเสียเนื้อกระดูกได้เร็วมากขึ้น
ขนาดตัวผู้หญิงที่มีรูปร่างบอบบางกระดูกเล็ก จะเสี่ยงต่อการมีกระดูกบางมากและบางเร็วกว่าผู้หญิงที่รูปร่างใหญ่ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก จะไม่เสี่ยงต่อการมีกระดูกบาง แต่คนผอมจะกระดูกบางกว่า
กรรมพันธุ์ผู้หญิงที่พ่อแม่มีประวัติกระดูกสันหลังพรุน และทรุดทั้ง 2 ฝ่าย มีแนวโน้มที่จะมีความหนาแน่นของกระดูกต่ำ
อายุยิ่งอายุยืน กระดูกจะบางมากขึ้น แต่อัตราการสูญเสียเนื้อกระดูกในแต่ละคนจะแตกต่างกันไป โดยเพศหญิงอายุ 50-80 ปีอัตราการสูญเสียเนื้อกระดูกจะเพิ่มขึ้นจาก15% ไปจนถึง 50% ได้
เชื้อชาติชาวเอเชียเป็นเชื้อชาติที่มีปัจจัยเสี่ยงของโรคกระดูกบางมากกว่าชนชาติแอฟริกัน โดยพบอัตรากระดูกสะโพกหักมากกว่าถึง 2 เท่า
-ปัจจัยที่ควบคุมได้ระดับฮอร์โมนฮอร์โมนเอสโตรเจน และเทสโทสเทอโรน เป็นฮอร์โมนที่ช่วยป้องกันการสูญเสียเนื้อกระดูก หากระดับฮอร์โมนทั้ง2 ต่ำ จะเกิดโรคกระดูกบางได้ ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการให้ฮอร์โมนทดแทน
อาหาร หากรับประทานอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมและวิตามินดีต่ำ จะเป็นอันตรายต่อคุณภาพของกระดูก ในขณะเดียวกัน ถ้าหากรับประทานอาหารประเภทโปรตีน ใยกากอาหารจากผัก และเกลือโซเดียมมากเกินไป จะทำให้ปริมาณการดูดซึมแคลเซียมของลำไส้ลดลงเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคกระดูกบางได้
ถึงแม้ว่าแคลเซียมจะมีความสำคัญต่อการสร้างกระดูกดังกล่าวแล้วความคิดที่ว่าเติมแคลเซียมเข้าร่างกายมากๆ เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะป้องกันหรือรักษาการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ที่สำคัญคือ พยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมหรือปัจจัยอื่นๆที่ทำให้มีการสูญเสียแคลเซียม หรือไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมด้วย
ปฏิบัติตัวให้กระดูกแข็งแรง
นพ.พูนศักดิ์ อาจอำนวยวิภาสผู้อำนวยการศูนย์กระดูกและข้อโรงพยาบาลปิยะเวท กล่าวว่า แคลเซียมยังมีส่วนช่วยในการทำงานของเซลล์ระบบประสาทและสมอง การทำงานของกล้ามเนื้อให้เป็นปกติ ช่วยในการแข็งตัวของเลือด ในแต่ละวันร่างกายคนเราจะมีการละลายแคลเซียมจากกระดูกประมาณ250-300 มก. โดยขับออกทางเหงื่อปัสสาวะ และอุจจาระ ดังนั้นจึงควรรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอกับจำนวนที่ถูกละลายออกมา
การออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กระดูกมีความแข็งแรง มีมวลกระดูกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้น้ำหนักตัวเองช่วยในการออกกำลังกายเช่น การเดิน การวิ่ง การขึ้นบันได กระโดดเชือก ยกน้ำหนัก รำมวยจีน เต้นรำกิจกรรมเหล่านี้ควรทำเป็นประจำให้ได้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที ถึงแม้ว่าแคลเซียมจะมีความสำคัญต่อการสร้างกระดูกดังกล่าวแล้ว ความคิดที่ว่าเติมแคลเซียมเข้าร่างกายมากๆ เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะป้องกันหรือรักษาการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ที่สำคัญคือ พยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมหรือปัจจัยอื่นๆที่ทำให้มีการสูญเสียแคลเซียม หรือไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมด้วย แต่หากอายุเยอะควรเล่นกีฬาให้เหมาะสมเช่น ว่ายน้ำ เดิน
อาหารที่ดีคือเนื้อขาว เช่น ไข่ขาว เนื้อไก่ ปลา คะน้า ใบทองหลาง ใบยอ กะปิปลาเล็กปลาน้อย งาดำ นม เนย และควรตรวจมวลกระดูกทุกปี เพื่อติดตามโรคอย่างใกล้ชิด หากมีวัยเกิน 40 ปี "การรักษาโรคกระดูกพรุนมีพัฒนาการทางการแพทย์ไปเยอะ ไม่ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมานและใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทั้งการฉีดยาหรือการกินอาหารเสริมตามระดับของโรค" |
| | |
|
| |
|
pageview 1205862 |
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO) ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th | | |
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved
|
| |