ส.ย.ท.อ้อน "คลัง-พาณิชย์" ปลดล็อก3 มาตรการ "ชะลอขึ้นภาษีสรรพสามิต-ใช้ส่วนผสมบุหรี่-คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา" อุ้มชาวไร่ปลูก
ใบยาสูบและโรงบ่ม ภาคเหนืออีสาน ภาคกลาง กว่า 4 แสนครอบครัวเดือดร้อน รายได้ส่งออกปีละ 4,500 ล้านบาท หดหายหลังได้ไฟเขียวขึ้นราคาในประเทศก.ก. ละ111 บาท
นายวิวัฒน์ สาหร่ายทอง นายกสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้า
ใบยาสูบเชียงใหม่ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหใบยาสูบไทย จำกัด
เปิดเผยว่า ล่าสุดทางสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและค้ายาใบยาสูบไทย (ส.ย.ท.)ได้ยื่นคำร้องขอต่อภาครัฐเพื่อช่วยชาวไร่ยาสูบแก้ปัญหาเร่งด่วนในฤดูกาลผลิตปี 2555 รวม 4 เรื่อง เรื่องแรกยื่นโรงงานยาสูบขอขึ้นราคาใบยาสูบแห้งและได้รับอนุมัติให้ขึ้นเมื่อต้นเดือนมกราคม 2555 กำหนดให้ใบยาสูบคุณภาพสูงสุดกิโลกรัมละ 111 บาทและต่ำสุดกิโลกรัมละ 80 บาท
ยื่นกระทรวงการคลังแต่ยังไม่ได้รับการพิจารณาทั้ง 2 เรื่อง คือ เรื่องที่ 1 กรณีกระทรวงสาธารณสุขห้ามใช้ส่วนประกอบปรุงแต่งในบุหรี่ ซึ่งสวนทางกับขั้นตอนการผลิตในประเทศ ตลาดบุหรี่จะมีรสผสม เช่น น้ำตาลที่นำมาใช้กับพันธุ์ใบยาสูบที่ปลูกในไทยทั้ง 3 ชนิดคือ เวอร์จิเนีย เบอร์เล่ย์ เตอร์กิชมาตรการของสาธารณสุขจะส่งผลกระทบต่อผู้บ่มในภาคเหนือ 74,900 ครอบครัว ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางตอนบน 372,000 คนรวมถึงจะทำให้โรงงานยาสูบส่งออกตลาดต่างประเทศปีละกว่า 4,500 ล้านบาท ขาดรายได้
เรื่องที่ 2 ขอชะลอการขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณความต้องการใช้ใบยาสูบ เพราะเป็นวัตถุดิบหลักที่มีลูกค้าเป็นกลุ่มโรงงานผู้ผลิตบุหรี่ บริษัทผู้ส่งออก ทั้งที่กรมสรรพสามิตเคยมีรายได้จากภาษีบุหรี่ถึงปีละ 57,000 ล้านบาท
ยื่นกระทรวงพาณิชย์ 1 เรื่อง เรื่องการออกกฎหมายบังคับใช้ซองบุหรี่มาตรฐาน โดยกระทรวงสาธารณสุขจะให้ผู้ประกอบการไทยปฏิบัติตามแบบออสเตรเลีย เริ่มมีผลตั้งแต่ปี 2555 แต่ส.ย.ท.และสมาคมผู้บ่มใบยาสูบภาคเหนือ 5 จังหวัด เชียงใหม่ เชียงรายพะเยา น่าน ลำปาง ขอให้รัฐบาลคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เพราะกฎหมายดังกล่าวไม่มีสิ่งบ่งบอกเอกลักษณ์หรือเครื่องหมายการค้า ซึ่งจะทำให้แพ็กเกจหรือซองบรรจุปลอมแปลงได้ง่าย
แต่คำขอของ ส.ย.ท.ยังไม่ได้รับการพิจารณา อยู่ระหว่างรอความชัดเจนหลังจากรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปรับคณะรัฐมนตรีใหม่เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2555 ขณะนี้รัฐมนตรีกระทรวงการคลังกระทรวงพาณิชย์ เพิ่งจะเข้ารับตำแหน่ง
นายวิวัฒน์กล่าวว่า กรณีที่โรงงานยาสูบเลือกเชียงใหม่เป็นสถานที่ลงทุนพัฒนาโครงการโรงงานยาสูบแห่งใหม่ในภาคเหนือนั้น ภาคเอกชนเห็นด้วยเนื่องจากระยะทางจะเข้ามาอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบผลิตมากขึ้น ส่วนในกรุงเทพฯไม่ควรจะเป็นที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม
สำหรับส่วนแบ่งการตลาดอุตสาหกรรมยาสูบตามสถิติตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศยจ.) จัดทำขึ้นนั้น มีผู้ครองอยู่เพียง 3 กลุ่มเท่านั้น คือ โรงงานยาสูบของกระทรวงการคลัง 78% บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส(ประเทศไทย) ลิมิเต็ด 20% และบริษัทรายย่อยอื่น ๆ อีก 2%