สธ.-สปสช. เตรียมส่งงบ 3.3 พันล้านบาท แก้วิกฤติรพ.ขาดทุนภายในเดือนมิ.ย.นี้ เชื่อบรรเทาปัญหาได้อย่างน้อย 1 ปี
          นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยวานนี้ (14 พ.ค.)ว่าตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณกลางกว่า 4.9 พันล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาโรงพยาบาลขาดทุนระยะเร่งด่วน ว่าขณะนี้ได้มีการพิจารณาจัดสรรเงินก้อนนี้ออกเป็น 3 ก้อน ก้อนแรกจำนวน 1 พันล้านบาท เพื่อจ่ายค่าตอบแทนบุคคลกร ก้อนที่ 2 จำนวน 6 ร้อยล้านบาท สำหรับโรคค่าใช้จ่ายสูง และก้อนที่ 3 จำนวน 3,376 ล้านบาท เป็นงบสำหรับการรักษาผู้ป่วยใน รวมบริการทารกแรกเกิด
          โดยในงบก้อนใหญ่นี้มีการคำนวณค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ เพื่อชดเชยการขาดทุน ซึ่งทุกแห่งได้เท่ากันที่อัตรา 7,994 บาท จากเดิมที่จะได้ไม่เท่ากัน ซึ่งในการจัดสรรครั้งนี้เฉลี่ย 4.9 แสนบาทในโรงพยาบาลขนาดเล็ก ไปจนถึงเฉลี่ย 100 ล้านบาทในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ป่วยใน
          สำหรับงบก้อนนี้ ขณะนี้อยู่ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และเตรียมจะกระจายไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ตามรูปแบบที่หารือร่วมกัน โดยขั้นตอนจะต้องผ่านคณะอนุกรรมการการเงินการคลัง และเสนอต่อ บอร์ด สปสช. พิจารณา คาดว่าจะจัดสรรให้แก่โรงพยาบาลได้ภายในเดือนมิ.ย. เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหารพ.ขาดสภาพคล่องได้เกือบ 1 ปี
          อย่างไรก็ตาม สำหรับโรงพยาบาลที่มีปัญหาวิกฤติระดับ 7 นั้น ยังมีงบประมาณอีกส่วนหนึ่งที่กระทรวงกันไว้ประมาณ 1,700 พันล้านบาท ที่จะมาพิจารณาต่อว่าจะต้องกระจายไปยังโรงพยาบาลแห่งใดบ้าง
          ทั้งนี้ กรณีโรงพยาบาลขากสภาพคล่อง นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานปัญหาดังกล่าวเมื่อกลางเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา และต่อมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณกลางจำนวนดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหาการขาดสภาพคล่องของโรงพยาบาล
          โดยนพ.ปิยะสกล ระบุว่างบประมาณที่ได้รับมานั้น จะนำมาจัดสรรและกระจายไปในโรงพยาบาลทุกระดับ ทั้งโรงพยาบาลศูนย์ (รพศ.) โรงพยาบาลทั่วไป (รพท.) โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โดยจะกระจายงบในกลุ่มผู้ป่วยในกว่า 3,000 ล้านบาท และอีก 300 ล้านบาท ใช้กับงานดูแลทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักน้อย ส่วนอีกราว 1,000 ล้านบาท จัดสรรเป็นค่าตอบแทนตามผลปฏิบัติงานหรือพีฟอร์พี และอีกประมาณ 600 ล้านบาทเป็นการชำระหนี้ที่ติดค้างกับกระทรวงสาธารณสุข
          โดยเชื่อว่างบประมาณที่ได้รับจัดสรรในครั้งนี้ จะสามารถบรรเทาปัญหาการขาดสภาพคล่องของโรงพยาบาลได้ระยะหนึ่ง แต่ในอนาคตต้องมีปรับแก้ไขระบบทำให้โรงพยาบาลสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง