HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
กรุงเทพธุรกิจ [ วันที่ 25/02/2555 ]
สธ.ฟันวินัยร้ายแรงเภสัชกรรพ.อุดรฯขาย"สารผลิตยาบ้า"
          กระทรวงสาธารณสุข สั่งดำเนินทางวินัยขั้นร้ายแรง และโทษอาญา เภสัชกรประจำห้องยา โรงพยาบาลอุดรธานี หลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบมีการปลอมแปลงหลักฐานจ่ายยาแก้หวัดที่มีสูตรซูโดอีเฟรดรีนเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นยาควบคุมพิเศษ 65,000 เม็ด เผยเป็นกรณีตัวอย่าง สั่งขยายผลตรวจสอบโรงพยาบาลในสังกัด และโรงพยาบาลเอกชนทุกแห่ง 
          หลังการเข้มงวดนโยบายปราบปรามยาเสพติด นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุดรธานีว่าคณะกรรมการควบคุมยาของโรงพยาบาลอุดรธานีได้ตรวจพบว่ามีการลักลอบนำยาแก้หวัดที่มีสูตรซูโดอีเฟรดรีน (Psudoephedrine) เป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นยาควบคุมพิเศษตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ป้องกันการนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด ซึ่งยาชนิดนี้อนุญาตให้ใช้ในโรงพยาบาลสังกัดรัฐและเอกชน ไม่อนุญาตให้จำหน่ายในร้านขายยาทั่วไปและคลินิก 
          เภสัชกรรายนี้เป็นชาย อายุ 40 ปี ตำแหน่งเภสัชกรชำนาญการ ได้ลักลอบนำออกจากโรงพยาบาลจำนวน 130 ขวด ขวดละ 500 เม็ด รวม 65,000 เม็ด โดยจัดทำหลักฐานเท็จว่าตัดจ่ายไปให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในจังหวัดอุดรธานี การกระทำผิดรายนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกและเป็นกรณีตัวอย่างข้าราชการที่มีหน้าที่ดูแลด้านยาโดยตรง ไม่สนองวาระแห่งชาติของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขในการแก้ไขปัญหายาเสพติด 
          สั่งสอบวินัยร้ายแรงเภสัชกร 
          นายวิทยากล่าวว่า ได้สั่งการให้ดำเนินคดี ข้าราชการรายดังกล่าว 2 กระทง ได้แก่ 1.ทางวินัยขั้นร้ายแรง โดยตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทางวินัย 1 ชุด ให้รายงานผลภายใน 24 ชั่วโมง 2.ดำเนินคดีทางอาญา ซึ่งเป็นหน้าที่ของตำรวจ และสั่งการขยายผล ให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุกแห่ง ทั้งรัฐและเอกชน ตรวจสอบควบคุมการจ่ายยาชนิดนี้อย่างเคร่งครัด หากพบกระทำผิดให้ดำเนินการคดีโดยไม่มีการละเว้น 
          ย้ำยาซูโดอีเฟรดรีนคุมพิเศษ 
          นายวิทยากล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยกระดับการควบคุมยาแก้หวัดสูตรผสมที่มีซูโดอีเฟรดรีนเป็นส่วนประกอบให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภทที่ 2 ตามพระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ห้ามขายในร้านขายยา 
          หากมีการฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษที่รุนแรงขึ้น ทั้งนี้เมื่อโรงพยาบาลซื้อยาดังกล่าวไปจะต้องทำรายงานส่งให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทุกเดือน และส่งรายงานสรุปยอดประจำปี โดยในการจ่ายยาให้คนป่วยทุกครั้ง จะต้องแสดงรายละเอียดในประวัติผู้ป่วย จำนวนการสั่งจ่ายยา และยอดการซื้อของโรงพยาบาล ยอดเหลือยาคงคลัง ต้องตรงกันทั้งหมด 
          หากมีการรั่วไหลหรือมีหลักฐานว่ามีการนำไปขาย จะมีอัตราโทษสูงกว่าเดิม คือจำคุก 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท ซึ่งโทษเดิมถ้าเป็นยา จำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 30,000 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งมีโทษทางวินัย อีกทั้งหากสามารถสืบได้ว่าเกี่ยวพันกับการนำไปผลิตยาเสพติดก็จะส่งให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินการยึดทรัพย์ด้วย 
          รพ.อุดรสั่งย้ายระหว่างรอสอบ 
          ทางด้านนายแพทย์พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุดรธานี กล่าวว่า โรงพยาบาลอุดรธานี เป็นโรงพยาบาลศูนย์กลางของจังหวัด ในการกระจายยาไปให้โรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โดยมีคณะกรรมการควบคุมยา และมีกระบวนการตรวจสอบภายในทุก 3 เดือน ในกรณีนี้ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัย 1 ชุดประกอบด้วยเภสัชกรของโรงพยาบาล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี และนิติกร 
          และระหว่างตรวจสอบ ได้สั่งย้ายเภสัชกรที่กระทำผิดไปช่วยราชการที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานีเป็นการชั่วคราวภายใน 24 ชั่วโมงแล้ว โดยจะทราบผลตรวจภายในวันนี้ 
          รวบทหารพรานลอบค้ายาบ้า 
          วันเดียวกันที่ จ.นครศรีธรรมราช พ.ต.อ.ภูดิส นรสิงห์ รอง ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช พ.ต.อ.อดุลย์ ธนะชัยขันธ์ ผกก.สภ.ท่าศาลา พ.ต.ท.ประเสริฐ นาคคง รอง ผกก.ป. พ.ต.ท.ปรีชา ศรีสกุล สวป.พร้อมด้วยชุดสืบสวน สายตรวจเข้าทำการปิดล้อมบ้านเลขที่ 157/3 ม.6 ต.หัวตะพาน อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วยหมายค้นจากศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช หลังจากสืบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นแหล่งพักยาเสพติดไว้ส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ 
          เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าจู่โจมแสดงหมายค้นและเข้าทำการตรวจค้นพบเจ้าของบ้านคือนายนิคม แซ่อ่อง อายุ 69 ปี เจ้าของบ้านมารับหน้าเจ้าหน้าที่ในสภาพหน้าตาตื่นเจ้าหน้าที่จึงคุมตัวไว้ก่อน หลังจากนั้นได้คุมตัวนายนพวิชญ์ บุญฤทธิ์ อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 113/1 ม.3 ต.ตลิ่งชัน อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีอาการพิรุธอย่างเห็นได้ชัด 
          พบยาบ้าพร้อมอาวุธจำนวนมาก 
          จากนั้นจึงเข้าทำการตรวจค้นถึงกับตะลึง พบยาบ้ากว่า 1,400 เม็ด ปืนยาวคาร์บิน 1 กระบอก แมกกาซีน 1 อัน แมกกาซีนเอ็ม16 อีก 1 อัน ปืนลูกซองสั้น 1 กระบอก กระสุนปืนคาร์บิน 13 นัด กระสุนลูกซอง 4 นัด ดินระเบิดไดนาไมต์ 300 กรัม พร้อมเชื้อปะทุฝักแคจำนวนมาก ซึ่งพร้อมใช้งานหากประกอบแล้วสามารถใช้เป็นระเบิดแรงสูงสร้างความเสียหายได้อย่างกว้างขวาง 
          ต่อมาหลังจากคุมตัวนายนพวิชญ์ บุญฤทธิ์ มาสอบสวนให้การรับสารภาพว่า ขณะนี้เป็นทหารพราน สังกัดกรมทหารพรานที่ 44 ร้อยที่ 4403 ประจำอยู่ที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ได้ลาพักมาเป็นเวลา 10 วัน หลังจากนั้นไม่กลับไปรายงานตัวรวมเวลาราว 1 เดือนแล้ว และรับสารภาพว่าทั้งยาบ้า และของกลางทั้งหมดได้ร่วมกันกับนายนิคมซึ่งเป็นลุง ซุกซ่อนไว้ในบริเวณบ้าน หลังจากที่เห็นตำรวจจะเข้าตรวจค้น 
          โดยเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวร่วมกันครอบครองวัตถุระเบิดโดยผิดกฎหมาย ร่วมกันครอบครองอาวุธสงครามซึ่งนายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ร่วมกันครอบครองยาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้เพื่อจำหน่าย ส่วนนายนิคม แซ่อ่อง ลุงได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวไว้ดำเนินคดีต่อไปแล้ว

pageview  1205110    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved