HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
กรุงเทพธุรกิจ [ วันที่ 19/08/2556 ]
ซ่อมร่าง แบบร้อนๆ

   ทุกวันนี้คนหนุ่มสาวที่ทำงานออฟฟิศอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ มักจะมีอาการปวด ตึง บริเวณต้นคอ บ่าและหัวไหล่ บางรายมีอาการรุนแรง จนถึงขั้นหันคอ ก้ม หรือว่า เงยไม่ได้ และวิธีการบำบัดก็มีหลายวิธี บางคนเลือกกายภาพบำบัดนวดคลายกล้ามเนื้อ ไม่เว้นแม้กระทั่งการใช้ใบพลับพลึงกับอิฐร้อนๆ หรือไม่ก็การแช่ทราย เพื่อผ่อนคลายเส้นเอ็นตามร่างกาย ภูมิปัญญาพลับพลึงกับอิฐ
          ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า ต้นพลับพลึงที่มีลักษณะกาบใบห่อหุ้มซ้อนกันเป็นชั้นๆ มีลำต้นสูงประมาณ1 เมตร มีใบอวบกว้างประมาณ 7-15 เซ็นติเมตร ยาว 1 เมตรนั้น สมุนไพรพวกนี้มีสรรพคุณในการรักษาอาการฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก และบรรเทาอาการปวด โดยคนไทยโบราณนำใบพลับพลึงมาย่างไฟอ่อนๆ ประคบบริเวณที่เคล็ดหรือปวด อาการปวดก็จะบรรเทาลงไปได้
          เหมือนเช่น กำไร เพิ่มบุญพา หมอนวดโบราณ บางพลีใหญ่ นำก้อนอิฐมอญมาเผาไฟให้ร้อน แล้วนำใบพลับพลึงแก่อายุกว่า 20 ปีขึ้นไปมาห่ออิฐมอญสีแดงร้อนฉ่าประมาณสองสามชั้น สุดท้ายนำผ้าฝ้ายสีขาวห่อ แล้วนำมาประคบตามจุดต่างๆ ที่มีปัญหาในร่างกายเช่น ปวดเมื่อย เส้นเอ็น ตึง ยึด ค่อยๆ ประคบนวดอย่างบรรจงละเมียดละไม ความอุ่นค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนอุ่นจัด นั่นคือ คุณสมบัติของอิฐมอญที่ร้อนนานถึง 1 ชั่วโมง นวดแต่ละครั้งใช้อิฐมอญ 3 ก้อน นวดได้ 3 ชั่วโมง
          หลายคนที่มาบำบัดส่วนใหญ่ป่วยเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากนั่งทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์นานหลายชั่วโมง ไม่ขยับเขยื่อนตัวไปไหน เกิดอาการเส้นเอ็นในร่างกายยึด ตึง ตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า บ่าไหล่แข็งราวกับหินผา เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่ได้ ทำให้กลายเป็นโรคปวดหัว ไมเกรน ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ชา
          หมอนวดวัย 66 ประคบใบพลับพลึงร้อนๆ ตามจุดต่างๆ เพื่อเปิดประตูให้เลือดสามารถไหลเวียนได้ดี จากนั้นค่อยๆ นวดคลายเส้น
          "ก่อนอื่นเราต้องล้างใบพลับพลึงให้สะอาดก่อน จากนั้นเราก็ทำความสะอาดก้อนอิฐ นำไปเผาไฟให้ร้อน ใช้เตาถ่านจะดีที่สุดเผาประมาณ 45 นาทีจนอิฐแดง เราไม่ใช้เตาแก๊ส เพราะแก๊สไม่ดีต่อร่างกาย ถ่านดีที่สุด พอได้อิฐร้อนๆ แล้วเราก็เอาใบพลับพลึงที่ล้างไว้8-9 ใบ ม้วนไม่ให้อิฐโผล่แล้วเอาผ้าสะอาดม้วนอีกที ประคบร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเอ็นตึงเส้นตึง เหน็บชา ตะคริว ไมเกรน ได้หมด"หมอนวดกำไร กล่าว เพราะพลับพลึง อายุไม่ถึง 20 ปี ถือว่ายังไม่มีประสิทธิภาพ
          หมอนวดกำไร บอกว่า น้ำยางจากใบพลับพลึงชนิดนี้ สามารถแก้อาการปวดได้ทุกชนิด ไม่ว่ากรณีเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ไขมันอุดตันเส้นเลือด จะใช้วิธีการนวดประคบประมาณ 5 -7 วัน โดยใช้อิฐกับพลับพลึงซึ่งสามารถดูดน้ำคาวปลาให้แห้งได้
          ส่วนเทคนิคการม้วนใบพลับพลึง ป้ากำไรนำส่วนที่แข็งที่สุดของใบให้โดนความร้อนก่อน เพื่อที่จะทำให้การม้วนง่ายขึ้น ม้วนให้แน่น8-9 ใบ หากใบใหญ่หนาใช้แค่ 3 ใบก็พอคนที่เป็นไมเกรนต้องประคบที่ศรีษะก่อน ภายใน 15 นาทีระดับความร้อนจะขยายขึ้น
          "คนส่วนใหญ่ที่มารักษาจะมีปัญหาเกี่ยวกับเลือดลม และเส้นประสาทตึงถึงกระบอกตาขึ้นไปถึงหัว เราต้องไล่ตามข้อต่างๆ เพื่อไล่ลมและเลือด แล้วค่อยไล่เส้น นวดให้ละเอียด คนส่วนมากละเลยไม่สนใจเรื่องเลือด ถ้าเลือดเดินไม่ดีสะดุด ก็จะเป็นได้อีกหลายโรคตั้งแต่ไขมันอุดตันในเส้นเลือด เส้นเลือดตีบ อย่างลมแน่นจุกตรงลิ้นปี่ หายใจไม่ออก ป้าก็ช่วยมาแล้ว ด้วยอิฐกับพลับพลึง ประคบตรงลิ้นปี่ แล้วค่อยๆ โกยไล่เส้นลม เพื่อขยายปลายนิ้วทั้ง 5 นิ้ว ประตูลมด้านล่างด้านบนเปิดให้หมด ต้องเปิดให้เป็นนะคะ และจุดเอ็นใต้หัวเข่า เอ็นสันข้างเปิดให้หมดแค่นี้จบ แต่ขอย้ำว่าต้องนวดให้เป็น ซึ่งหมอนวดปัจจุบันนี้มีหลายแบบ ถ้านวดผิดจะเป็นผลเสียต่อคนไข้มากกว่าผลดี ใครที่ทำเป็นแบบงูๆ ปลาๆอย่าไปรักษาให้ใครเลย เป็นห่วงตรงนี้แหละ"
          หมอนวดกำไรคุยว่า คนที่เป็นโรคไมเกรน รับประกันได้ว่าบำบัดแค่ 3 ครั้งหาย คนที่เป็นอัมพฤกษ์ฉับพลันก็เคยหายมาแล้ว แต่อัมพาตไม่หาย เพราะเส้นตายไปแล้ว อัมพฤกษ์แค่เส้นสลบ ต้องอาศัยหลักวิชาการจากคู่ชีวิตของป้ากำไร คือ ชูเดช รอดสุวรรณโน ซึ่งจบนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ่านการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องสรีระมนุษย์ ปัจจุบันเป็นหมอนวดคู่กับป้ากำไร เชี่ยวชาญการรักษาสบักจม เข่าเสื่อม พังผืดยึด หืดหอบ
          "คนไข้ที่อาการหนักปวดมากๆ รักษาประมาณ 5 ครั้งจนกระทั่งเส้นเอ็นคลาย เลือดลมเดินดี เราก็ต้องให้เขาแช่สมุนไพรมีตะไคร้ ข่า กระเพาะแดง ไพร ลูกมะกรูดการะบูน ใบขี้เหล็ก 7 อย่างล้างให้สะอาดสับให้ละเอียด ใส่ในหม้อต้มจนกลิ่นหอมฉุย เราใส่มะกรูดเยอะหน่อยประมาณ 9 ลูกผ่าครึ่ง แล้วใส่ลงไป เข้ากระโจมแบบชาวบ้าน ให้เขาสูดประมาณ 15-20 นาทีให้ร่างกายอบอุ่นแล้วออกมา เราก็กรองน้ำสมุนไพรนั้นให้สะอาด ใช้น้ำเย็นผสม ให้คนไข้แช่ตัว ไม่ควรแช่นาน เพราะสมุนไพรสดเป็นยาแรง เราก็ไม่หวงสูตรหรอกนะ ใครมาก็บอก เพราะถ้าเราตายไปแล้ว ก็จะไม่มีใครทำเป็นแล้วล่ะ"
          อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่า ต้องใช้อิฐมอญโบราณ ซึ่งมีส่วนประกอบของ ดิน ทราย แกลบ เมื่อเผาไฟแล้ว มีแร่ธาตุต่างๆ ผสมผสานกับยางของใบพลับพลึง ที่มีสรรพคุณล้นเหลือ
          จากนั้นเปิดประตูลม ด้วยลูกประคบไล่เลือดกับลม แล้วไล่เส้น...
          "คนเราเมื่ออายุ 30 เป็นต้นไป ควรเริ่มดูแลตัวเอง ทว่าคนที่ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ คงต้องหันมาดูแลตัวเองควบคู่กันไปด้วยไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ควรแช่สมุนไพรบ่อยๆเพื่อขจัดรังสีต่างๆ ที่เราได้รับจากจอคอมพิวเตอร์ จอโทรทัศน์ ฯลฯ นั่นเป็นความเชื่อจากตำรับโบราณ"
          ส่วนเรื่องค่ารักษาอาการปวดเมื่อยหมอนวดกำไรไม่ได้คิดรักษาแพงนัก เพราะมีจิตมุ่งมั่นอยากจะรักษาคน เพื่อเป็นกำลังสำคัญของครอบครัวให้มีสุขภาพ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ บำบัดแบบญี่ปุ่น
          อย่างที่ทราบกันดีว่า ผู้คนในยุคเทคโนโลยี คงต้องหันมาดูแลร่างกาย เมื่ออายุเข้าสู่วัย30-40 ปี เพื่ออนาคตจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข  เมื่อก้าวสู่วัย 50-60 ปี ขึ้นไปจะได้มีร่างกายที่แข็งแรง ไม่เป็นภาระของครอบครัว และลูกหลาน นั่นคือความตั้งใจหนึ่งของผู้บริหาร'เรนโบว์ อโรคยา' ศูนย์บริการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม กรุงเทพฯ
          ขั้นตอนการรักษาของที่นี่ เริ่มด้วยการตรวจเช็คร่างกายด้วยเครื่องออร่า (Aura Test) เพื่อดูว่า ร่างกายส่วนไหนมีปัญหา จากนั้นตรวจโครงสร้าง (Posture Check) ของร่างกายเพื่อดูไขมัน หลอดเลือด การเต้นของหัวใจ ความดัน ก่อนทำการบำบัดรักษา
          บ่อสินแร่อุ่นๆ ช่วยในการดีท็อกซ์ของเสียในร่างกายได้ นั่นเป็นสิ่งที่ศูนย์บริการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม นำมาใช้ด้วยการแผ่กระจายของรังสี ฟาร์ อินฟราเรด ซึ่งเป็นพลังงานความร้อนตามธรรมชาติ เพราะเป็นสินแร่ที่ได้จากหินภูเขาไฟ ประเทศญี่ปุ่นนำมาบริการในรูปแบบ Chi Sand Bath ในอ่างขนาดใหญ่ให้ผู้ป่วยลงไปนอนแช่สบายๆ
          นงนภัส เหมวงศ์ ผู้ช่วยรองประธานกรรมการ Rainbow Arokayal Holistic Longevity Center เล่าว่า บ่อสินแร่เป็นการบำบัด โดยให้คนไข้นอนกลบทั่วตัวด้วยหินภูเขาไฟ เพื่อรับพลัง ฟาร์ อินฟราเรดที่กระจายออกมาจากสินแร่เหล่านั้น เพื่อนำเข้าไปขับของเสียที่สะสมในร่างกายได้อย่างล้ำลึก จนถึงระดับเนื้อเยื่อ  เพื่อขับออกมาทางเหงื่อ และปัสสาวะ เมื่อรับการบำบัดแล้วจะรู้สึก โล่ง โปร่ง ตัวเบา และสบายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ระบบการไหลเวียนของโลหิตจะดีขึ้น ผิวพรรณก็จะสดใส
          นอกจากการขับของเสียออกจากร่างกายแล้ว  ยังช่วยขจัดไขมันส่วนเกินที่อยู่ใต้ผิวหนัง ที่สำคัญช่วยบรรเทาความเจ็บปวดต่าง ๆ ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย  เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ตลอดจน ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานได้ดีขึ้น
          นอกจากนั้นยังมีการขับของเสียด้วยรังสี อินฟราเรด ชนิดไกล หรือ Far-Infrared Dome Sauna หรือ ฟาร์ อินฟราเรด โดมซาวน์น่า ที่ใช้  long wavelength light beams ซึ่งสามารถแผ่กระจายรังสีเข้าไปได้อย่างลึกล้ำถึงระดับเนื้อเยื่อเซลล์ โดยเข้าไปขจัดสารพิษต่าง ๆ ที่ฝังตัวลึกอยู่เป็นเวลานานให้ออกมาในรูปแบบของเหงื่อ และยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบริเวณผิวหนังโดยตรง ทำให้ผิวค่อยๆ ฟื้นฟู ร่างกายโดยรวมจะรู้สึกผ่อนคลาย
          คลีนิคเรนโบว์ อโรคยา ดังกล่าว วิชาดา วงศานิตย์ เป็นผู้ก่อตั้ง เนื่องจากเธอเคย ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ เธอจึงตั้งปณิธานกับตนเอง ไว้ว่า "จะต้องหายจากอัมพฤกษ์ และกลับมา มีสุขภาพดีอีกครั้ง เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือผู้ป่วยคนอื่นๆ และแบ่งปันสิ่งดีๆให้แก่สังคมไทย"
          นี่คือ แรงผลักดันให้เธอผู้นี้ เสาะแสวงหาแหล่งบำบัดรักษาแบบแพทย์ทางเลือก ตามแบบฉบับของญี่ปุ่น โดยอาศัยนวัตกรรมและเทคโนโลยี นำคลื่นพลังงานความร้อน ฟาร์ อินฟราเรดมาช่วยในการบำบัดรักษา ผสมผสานกับหลักการกายวิภาคศาสตร์ โดยการจัด-ปรับ-แก้ไขโครงสร้างกล้ามเนื้อ มัดลึกที่ชำรุดให้ฟื้นตัว เพื่อส่งผลให้กระดูกและข้อต่อต่างๆ เกิดการเคลื่อนไหวอย่างสมดุล
          จนกระทั่งทุกวันนี้ วิชาดา ยังคงสานต่อแนวคิดการมีอายุยืนแบบองค์รวม กายและใจ สมดุล โดยวิชาดามีความตั้งใจที่จะแบ่งปันความรู้เรื่องกายภาพให้แก่สังคม ดังนั้น การก่อตั้ง ศูนย์สุขภาพแบบองค์รวม จึงเป็นสิ่งที่เธอ ภาคภูมิใจ ที่เธอได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม โดยมีการจัดปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ สอดแทรกการดูแลตัวเอง กินอยู่อย่างมีสุขภาพดี เสริมความรู้เรื่องโครงสร้างร่างกายโดยนักกายภาพบำบัด ควบคู่กับการดูแลรักษาสุขภาพ ด้วยโปรแกรมล้างพิษและปรับสมดุลมานานกว่า 10 ปี
          ด้วยประสบการณ์การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมายาวนาน ปัจจุบันต่อยอดกลายเป็น โครงการ Rainbow Holistic Residence Member เพื่อสร้างสังคมผู้สูงอายุให้มีบั้นปลายชีวิตที่มีคุณภาพ เป็นทางเลือกสำหรับ ผู้ที่ต้องการดูแลรักษาสุขภาพ
          "โรคยอดฮิตของคนทางานออฟฟิค เป็นโรคเรื้อรังที่หลายคนพบเจอบางคนไม่สนใจที่จะรักษาอาการป่วยแต่บางคนรักษาเท่าไหร่ ก็ไม่หาย และนี่คือ อีกทางเลือก"


pageview  1205886    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved