HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
สยามรัฐ [ วันที่ 25/05/2555 ]
น้ำตาลทำให้โง่

 น้ำตาลที่กำลังจะเขียนถึงเป็นทั้งน้ำตาลทรายที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้วและน้ำตาลไฮเทคที่เรียกกันว่าไซรัปฟรุคโตส โดยงานวิจัยจากมหาวิทยาลับ UCLA ถือเป็นงานวิจัยชิ้นแรกที่กล้าพอที่จะให้ข้อสรุปว่า "กินน้ำตาลมากแล้วทำให้โง่" ใครจะไปรู้ว่างานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับน้ำตาลไฮเทคชิ้นนี้อาจกลายเป็นหมัดเด็ดน็อกบริษัทอาหารอเมริกันข้ามชาติที่มีอิทธิพลล้นโลกอยู่ในเวลานี้ก็ได้
          น้ำตาลไฮเทคหรือไซรัปฟรุคโตสที่กำลังจะเขียนถึงมีชื่อเต็มว่า "ไฮฟรุตโตสคอร์นไซรัป" (High Furctose Corn Syrup) มีชื่อเรียกย่อว่า HFCS เป็นไซรัปหรือน้ำเชื่อมที่ทำจากแป้งข้าวโพดที่แปลงสภาพให้มีน้ำตาลฟรุคโตสในปริมาณสูง ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อทดแทนน้ำตาลทรายจากอ้อยหรือบีทรูท น้ำตาลฟรุตโตสที่ว่านี้มีความหวานสูงกว่าน้ำตาลทรายหกเท่า ในทางอุตสาหกรรมจึงนิยมใช้เนื่องจากใช้ในปริมาณน้อยกว่าน้ำตาลทราย ทั้งยังเป็นของเหลวไม่ได้เป็นเกล็ดเหมือนน้ำตาลทราย
          ใครๆก็รู้ว่าความหวานทำให้คนที่ได้ชิมได้สัมผัสรสชาติเกิดอาการติด อุตสาหกรรมอาหารจึงนิยมให้น้ำตาล เดิมทีก็ใช้น้ำตาลทรายที่เรารู้จักกันนั่นแหละ น้ำตาลทรายมีสภาพเป็นเกล็ด ไม่สะดวกนักในการนำมาผสมในกระบวนการผลิตอาหารเนื่องจากต้องใช้ความร้อนในการละลายน้ำตาลทราย หรือไม่ก็ต้องใช้น้ำทำให้เกิดความยุ่งยากค่อนข้างมาก ภายหลักจึงเปลี่ยนมาเป็นไซรัปฟรุคโตสที่สะดวกและราคาถูกว่า
          ก่อนจะรู้จักน้ำตาลไฮเทคควรมารู้จักน้ำตาลทรายกันเสียก่อนน้ำตาลทรายเป็นสารเคมีที่มีชื่อเรียกว่า "ซูโครส" เป็นน้ำตาลเดี่ยวสองโมเลกุลที่จับรวมอยู่ด้วยกันเป็นน้ำตาลคู่นั่นคือฟรุคโตสกับกลูโคส ดังนั้นในโมเลกุลของน้ำตาลทรายจึงมีฟรุคโตสอยู่กึ่งหนึ่ง เมื่อเข้าสู่ร่ายกาย ก่อนจะถูกดูดซึม ซูโครสต้องถูกย่อยด้วยเอนไซม์อะมิเลสเป็นน้ำตาลเดี่ยวเสียก่อนจึงจะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือกได้
          น้ำตาลทรายส่วนใหญ่ทำจากบีทรูดและอ้อย บ้างก็ทำจากพืชอื่น ส่วนน้ำตาลไฮเทคเป็นผลผลิตจากสังคมอเมริกันแท้ๆ คือผลิตจากข้าวโพดซึ่งปลูกกันมากในสหรัฐอเมริกา ที่ว่าไฮเทคก็เพราะมีการใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงโมเลกุลของแป้งเนื่องจากแป้งก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีสายโมเลกุลยาว ในโมเลกุลเป็นน้ำตาลกลูโคสทั้งนั้น
          วิธีการทำไซรัปฟรุคโตสสูงจากแป้งข้าวโพด เขานำเอาแป้งข้าวโพดมาทำการย่อยให้กลายเป็นน้ำตาลกลูโคสเชิงเดี่ยวทั้งหมดก่อนจากนั้นจึงใช้เอนไซม์อินเวอร์เทสเปลี่ยนกลูโคสให้เป็นฟรุคโตสด้วยเทคนิคจำเพาะที่พัฒนาขึ้น กระทั้งกลูโคสส่วนใหญ่เปลี่ยนเป็นฟรุคโตสจนหมด ฟรุคโตสหวานกว่ากลูโคสเป็นสิบเท่า แต่รสชาติสู้กลูโคสไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องผสมกลูโคสกลับเข้าไปใหม่
          วิธีการขั้นต่อไปคือนำฟรุคโตสเชิงเดี่ยวผสมเข้ากับกลูโคสเชิงเดี่ยวที่ได้มาจากการย่อยแป้งข้าวโพดในช่วยแรกนั่นแหละ ให้ได้สัดส่วนฟรุคโตส 55 และกลูโคส 45 หากจะว่าไปก็ไม่ต่างจากน้ำตาลทรายที่มีสัดส่วนฟรุคโตส 50 และกลูโคส 50 สักเท่าไหร่ ที่สำคัญคือไซรัปข้าวโพดฟรุคโตสสูงหรือ HFCS มีรสหวานกว่าน้ำตาลทรายมากทำให้ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารในปริมาณที่น้อยกว่าน้ำตาลทราย
          ความได้เปรียบของ HFCS นอกเหนือจากหวานกว่าแล้วยังเป็นของเหลวทำให้ใช้สะดวก หลังจากนำเสนอในตลาดไม่นานนักอุตสาหกรรมก็แห่กันมาใช้ HFCS แทนน้ำตาลทราย ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม หรืออาหารขบเคี้ยวกรุบกรอบทั้งหลายที่วางจำหน่ายกันเกลื่อนบ้านเราทุกวันนี้รวมทั้งนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารอื่นๆ อย่างเช่นเครื่องปรุงรส
          ความที่เป็นฟรุคโตสซึ่งเป็นน้ำตาลผลไม้ที่คนทั่วไปรู้จักกันดีอยู่แล้ว นักวิชาการจึงวางใจ ทั้งคนส่วนใหญ่ก็พากันเชื่อว่ามันไม่สร้างปัญหาเบาหวานเนื่องจากฟรุคโตสไม่กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนอินสุลินจากตับอ่อน เอาเข้าจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น ความรู้ทางวิชากาในวันนี้กลับกลายเป็นว่าน้ำตาลฟรุคโตลเชิงเดี่ยวที่ทะลักเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าไปในเลือดแล้วมีผลเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะดื้อต่อฮอร์โมนเล็พตินที่ทำหน้าที่ให้หยุดกิน สิ่งที่ตามมาคือโรคอ้วน
          สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วนในหมู่ประชาชนมีอยู่หลายสาเหตุ HFCS เป็นสายเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง มีการค้นพบกลไกแล้วว่ามันเข้าไปรบกวนการส่งสัญญาณในสมองส่วนที่เป็นเปลือกสมอง เหนี่ยวนำให้เกิดภาวะดื้อต่อเล็พตินเกิดขึ้นในสมองส่วนไฮโปธาลามัส แต่ก็แค่ทำให้อ้วนเท่านั้น ยังไม่มีงานวิจัยชิ้นไหนที่กล่าวว่ามันไม่ได้สร้างปัญหาแค่ทำให้ดื้อต่อเล็พติน แต่ยังเข้าไปรบกวนการทำหน้าที่ด้านความจำของสมองด้วย จะมีก็งานวิจัยจาก UCLa นี่แหละ
          นายแพทย์เฟอร์นันโด โกเมซ-พินิลลา(Fernando Comez Pinilla) เป็นศาสตราจารย์ทางด้านศัลยกรรมประสาท วิทยาลัยแพทย์เดวิดเกฟเฟน มหาวิทยาลัย UCLA กับคณะทำการทดลองในหนู โดยใช้หนูประมาณ 20 ตัวฝึกให้เดินในเขาวงกตที่ค่อนข้างจะซับซ้อนชนิดเข้าไปแล้วหนทางเดินข้างในยุ่งเหยิงมากกระทั่งยากที่จะหาทางออก หนูเข้าไปฝึกอยู่วันเว้นวันเป็นเวลาห้าวันกระทั่งเรียนรู้หนทางที่จะออกจากเขาวงกตทางอีกปลายด้านหนึ่งได้ ไม่หลงทางอีกแล้ว
          จากนั้นนักวิจัยแยกหนูเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้กินน้ำตาลฟรุคโตสแทนน้ำนานหกสัปดาห์ อีกกลุ่มหนึ่งให้กินน้ำตาลฟรุคโตสเหมือนกันแต่เติมแฟล็กสีดและกรดไขมันอีเอชเอซึ่งเป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้าสาม กินอยู่นานหกสัปดาห์เช่นเดี่ยวกัน ภายหลังนำหนูทั้งสองกลุ่มกลับเข้าไปเดินในเขาวงกตอีกครั้งปรากฎว่าหนูกลุ่มที่ได้รับ HFCS อย่างเดี่ยว หลงทางในเขาวงกตอยู่เป็นนาน หนูสูญเสียความสามารถด้านการจดจำที่เคยมีอยู่ไปแทยหมด ในขณะที่หนู่กลุ่มที่กิน HFCS แต่ได้รับกรดไขมันโอเมก้าสามพร้อมกันไปด้วยนั้น ความทรงจำยังคงอยู่ทำให้ไม่หลงทาง
          ผลที่ได้จากงานวิจัยชิ้นนี้ค่อนข้างน่าตื่นตะลึงเพราะสรุปออกมาว่าน้ำตาล HFCS มีผลทำให้สูญเสียความจำไปได้ ซึ่งไม่เคยมีรายงานในลักษณะเดียวกันนี้มาก่อน ดังนั้น HFCS ไม่ใช่แค่ทำให้อ้วนแต่ยังทำให้โง่ได้ด้วย ใครที่บริโภคอาหารขยะมากๆ หรือดื่มน้ำอัดลมบ่อยๆคงต้องระวัง เพราะมีผลทำให้เซลล์ประสาทควาทรงจำที่อยู่บริเวณสมองด้านหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเปลือกสมอง เกิดความเสียหายกลายเป็นคนขี้หลงขี้ลืมไปได้มากกว่าเก่า
          อยากคิดจะแก้ไข การกินปลาทะเลที่มีกรดไขมันโอเมก้าสามจะช่วยชะลอปัญหาลงไปได้ ในเชิงโภชนาการเห็นทีจะต้องแนะนำให้ลดการบริโภค HFCS ลงขณะเดียวกันก็เสริมกรดไขมันโอเมก้าสามตามไปด้วยเพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพความจำของสมอง
          งานวิจัยในลักษณะนี้สร้างผลกระทบค่อนข้างสูงต่ออุสาหกรรมอาหารที่นิยมใช้ HFCS วิธีที่ดีที่สุดคือลดอาหารหวานลงซึ่งน่าจะดีต่อสุขภาพมากที่สุด เพียงแต่ไม่รู้ว่าอุตสาหกรรมอาหารจะพอใจหรือไม่ เพราะคนกลุ่มนั้นต้องพยายามหางานวิจัยอื่นมาหักล้างงานวิจัยชิ้นนี้อย่างแน่นอน ขอให้เชื่อเถอะ


pageview  1205099    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved