สภาวะตาบอดและสายตาเลือนรางรวมทั้งโรคตาที่เป็นปัญหาสาธารณสุขเป็นข้อมูลที่จำเป็นและมีความสำคัญยิ่งต่อการดำเนินโครงการส่งเสริมสุขภาพตา เพื่อนำไปกำหนดนโยบายและจัดกิจกรรมต่างๆ ในการที่จะแก้ปัญหาตาบอดและสายตาพิการให้ตรงกับข้อเท็จจริงตามสภาวะสาธารณสุขในปัจจุบัน ตลอดจนการจัดบริการทางตาให้ถูกต้องและเหมาะสม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีคณะทำงานโครงการส่งเสริมสุขภาพตา กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการจัดทำโครงการสำรวจ ศึกษา วิเคราะห์ วิจัยระบาดวิทยาของโรคตา โดยเฉพาะในเรื่องของตาบอด สายตาเลือนราง และโรคตาที่เป็นสาเหตุสำคัญและเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับชาติมาแล้ว 4 ครั้ง
จากการสำรวจสภาวะตาบอด ครั้งที่ 4 ในปี พ.ศ.2549-2550 พบว่าประชากรไทยมีความชุกของตาบอดร้อยละ 0.59 และสายตาเลือนรางร้อยละ 1.57 และโรคที่เป็นสาเหตุของตาบอดในประชากรไทยที่สำคัญ 5 โรคได้แก่
1.โรคต้อกระจก เป็นสาเหตุของตาบอดสูงถึงร้อยละ 51 2.โรคต้อหิน เป็นสาเหตุของตาบอดร้อยละ9.8 3.โรคของจอตา เป็นสาเหตุของตาบอดร้อยละ9 4.โรคที่ทำให้ตาบอดในเด็ก เป็นสาเหตุของตาบอดร้อยละ 5.7 5.โรคของกระจกตา เป็นสาเหตุของตาบอดร้อยละ 5 องค์การอนามัยโลกและ International Agency for Prevention of Blindness กำหนดให้วันพฤหัสบดี สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนตุลาคมของทุกปีเป็นวัน World Sight Day หรือ วันสายตาโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหาตาบอด สายตาพิการ และการฟื้นฟูสภาพสายตาสำหรับในปีนี้วัน World Sight Day หรือ วันสายตาโลก ตรงกับวันที่ 10 ตุลาคม2556 สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขร่วมจัดกิจกรรมรณรงค์"โครงการลดอัตราการเกิดตาบอด
ในเด็กไทย" ซึ่งเป็นสาเหตุของตาบอดในประชากรไทยอันดับ 4
นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวในพิธีแถลงข่าวการรณรงค์ ร่วมลดอัตราการเกิดตาบอดในเด็กไทย ที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีว่าจากการสำรวจสภาวะตาบอด สายตาเลือนรางและโรคตาที่เป็นปัญหาสาธารณสุขในประเทศไทยครั้งที่4 ปี พ.ศ.2549-2550 พบว่าประชากรไทยมีความชุกของตาบอดร้อยละ0.59และสายตาเลือนรางร้อยละ 1.57 และโรคที่เป็นสาเหตุของตาบอดในประชากรไทยที่สำคัญ 5 โรคได้แก่โรคต้อกระจก โรคต้อหิน โรคของจอตา โรคที่ทำให้ตาบอดในเด็ก และโรคของกระจกตา
กรมการแพทย์ ในฐานะที่กำกับดูแลศูนย์ความเป็นเลิศสาขาจักษุวิทยา ได้จัดทำแผนพัฒนาเขตบริการสุขภาพ [Service Plan] สาขาจักษุวิทยาภายใต้นโยบาย"การปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุข เพื่อคุณภาพชีวิตประชาชนไทย" ของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์)มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาสภาวะตาบอดและสายตาเลือนรางของประชากร ตามกรอบแนวคิด Vision2020 ขององค์การอนามัยโลก โดยมีแผนพัฒนาต่อเนื่องไปอีก 5 ปี
นพ.สรศักดิ์ โล่ห์จินดารัตน์ รองผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ข้อมูลจากรายงานวิจัยเรื่องการสำรวจสภาวะตาบอด ตาเลือนรางและโรคตา ที่เป็นปัญหาสาธารณสุขในเด็กอายุ 1-14 ปี พ.ศ.2549-2550 ของประเทศไทย พบว่า อัตราความชุก ของสภาวะตาบอดในเด็กไทยเท่ากับร้อยละ 0.11 เป็นอัตราที่สูงกว่า การประมาณการขององค์การอนามัยโรคในปี พ.ศ.2545 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 0.07 ซึ่งองค์การอนามัยโลก ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ในปี พ.ศ.2563 อัตราตาบอดของเด็กในทุกประเทศไม่ควรเกิน ร้อยละ0.04 (ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกVISION 2020 action plan 2006-2010) โดยพบว่าสาเหตุของสภาวะ
ตาบอดในเด็กไทย เกิดจากโรคที่จอตาในทารกคลอดก่อนกำหนดถึงร้อยละ66.66 และเกิดจากภาวะตามัวที่เกิดจากภาวะสายตาผิดปกติ ที่ไม่ได้รับการแก้ไข ร้อยละ 33.33 ดังนั้น การที่จะลดอัตราความชุกของสภาวะตาบอดในเด็กไทยได้ ต้องมุ่งเน้น การควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุสำคัญ คือ โรคจอตาในทารกคลอดก่อนกำหนด และสภาวะสายตาผิดปกติ ที่ไม่รับการแก้ไข
ด้าน พญ.ขวัญใจ วงศกิตติรักษ์ หัวหน้ากลุ่มงานจักษุวิทยาให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการคัดกรองภาวะสายตาผิดปกติในเด็กว่า การวินิจฉัยและรักษาภาวะสายตาผิดปกติไม่ยุ่งยาก แต่การเข้าถึงกลุ่มเด็กยังเป็นปัญหาเนื่องจากขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ที่จะทำหน้าที่คัดกรองหาเด็กที่มีปัญหา และส่งต่อสถานพยาบาลเพื่อรับการตรวจและวัดสายตา ประกอบแว่นที่ได้มาตรฐาน
ในขณะที่การวัดสายตาในเด็กแตกต่างจากการวัดสายตาในผู้ใหญ่จำเป็นต้องใช้การหยอดยาเพื่อลดการเพ่งของตาเด็กและการประกอบแว่นตาให้เด็กต้องการความถูกต้อง แม่นยำ เพราะเด็กจะไม่สามารถบอกได้ว่าแว่นตาดีหรือไม่ดีการใส่แว่นที่ไม่ถูกต้องตรงตามสายตาเด็ก หรือระยะต่างๆในการประกอบแว่นไม่ถูกต้อง จะส่งผลเสียต่อสายตาเด็ก
จากเหตุผลดังกล่าวจึงต้องมีการพัฒนาระบบบริการร่วมกันระหว่างโรงเรียนและสถานพยาบาลเพื่อให้มีการตรวจคัดกรองเด็กเบื้องต้นโดยครูที่ได้รับการฝึกอบรม และส่งต่อเด็กที่คัดกรองพบความผิดปกติไปยังสถานพยาบาลและพัฒนาให้มีการบริการตรวจวัดสายตาและประกอบแว่นในหน่วยบริการ ซึ่งกลุ่มงานจักษุวิทยา สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีมีหลักสูตร"การวัดแว่นตาในเด็ก" เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับจักษุแพทย์ พยาบาลเวชปฏิบัติทางจักษุ และนักทัศนมาตรที่สนใจเข้ารับการอบรม ระยะเวลา 3 สัปดาห์เพื่อเพิ่มบริการตรวจวัดสายตาในเด็ก ให้กระจายไปทั่วประเทศ
เด็กที่มีภาวะสายตาผิดปกติและไม่ได้รับการแก้ไขจะมีผลกระทบในเชิงลบต่อการศึกษาและโอกาสในการทำงานในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของตนเอง ครอบครัว และคนในสังคมด้วยเช่นกันถึงเวลาแล้วที่ทุกคนมาร่วมกันรณรงค์ร่วมลดอัตราการเกิดตาบอดในเด็กไทย ด้วยการคัดกรองสังเกตพฤติกรรมของเด็กเล็ก ซึ่งครู ผู้ดูแลเด็ก และผู้ปกครองสามารถทำได้เองเบื้องต้นได้อย่างง่าย ก่อนที่อนาคตของเด็กน้อยที่เป็นกำลังของชาติจะดับมืดลง