"เหลิม" ปูด 2 บริษัทไทยสั่งซูโดฯ จากเกาหลี 40 ตัน ปั๊มยาบ้าได้ 850 ล้านเม็ด สั่งดีเอสไอเร่งตรวจสอบกวาดล้างให้สิ้นซาก "ธาริต" เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ลัดฟ้าไปแดนกิมจิขอข้อมูล ขณะที่ สธ.ตรวจเจออีก 2 รพ.ที่เชียงใหม่ และ 1 รพ.ลำพูน ยาสูตรซูโดฯ หายกว่า 9 แสน เร่งตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทางด้าน ตร.พะเยาตามรวบหนุ่มชุมพรตามหมายจับคดีสารตั้งต้น "ซูโดฯ" หลังดอดเยี่ยมลูกสาวที่ อ.แม่ใจ ขณะที่ผู้การนครศรีฯ แฉเครือข่ายค้ายานรกในคุกเชื่อมโยงคุกบางขวาง ประเทศเพื่อนบ้านจี้ราชทัณฑ์ยอมรับความจริง แนะเร่งย้ายพวกนอกรีต เตรียมขอหมายจับนักโทษ-ผู้คุม-ตั้งเป้ายึดทรัพย์แน่
           เมื่อเวลา10.00 น. วันที่ 23 เม.ย.55 ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า องค์การอาหารและยา (อย.) ของประเทศเกาหลี แจ้งว่า มีบริษัทในประเทศไทย 2 บริษัทสั่งซื้อสารซูโดอีเฟดรีนจำนวน 40 ตัน ที่นำมาผลิตยาบ้าได้ 850 ล้านเม็ด ทางไทยได้แจ้งกลับไปว่าสารซูโดอีเฟดรีนเป็นสารต้องห้ามในการนำเข้าประเทศไทย แต่ปรากฏว่ามีหลักฐานการส่งเข้าประเทศไทยโดยสำแดงเท็จว่าเป็นสินค้าอื่นซึ่งถือว่าเข้าประเทศไทย แต่ปรากฏว่ามีหลักฐานการส่งเข้าประเทศไทยโดยสำแดงเท็จว่าเป็นสินค้าอื่นซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการใหญ่ จึงสั่งการให้ดีเอสไอกวาดล้างให้สิ้นซาก และจัดการกับผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นบริษัทรับขนส่งสินค้าหรือชิปปิ้ง และต้องเดินทางไปประเทศเกาหลีเพื่อหาข้อมูลเพราะหลักฐานเบื้องต้นพบว่า 2 บริษัทที่สั่งซื้อเป็นบริษัทผลิตเครื่องไฟฟ้าและอีกบริษัทเป็นบ้านพักอาศัย ที่แจ้งว่าทำธุรกิจรถยนต์แต่กลับสั่งสารเหล่านี้ อย่างไรก็ตามการทำงานปราบปรามยาเสพติดถือว่าเป็นที่น่าพอใจ ทำงานมา 7-8 เดือน จับยาบ้าได้ 45 ล้านเม็ด และในระหว่างวันที่ 28-30 เม.ย.นี้ ตนจะเดินทางลงพื้นที่ภาคอีสานเพื่อกำชับเจ้าหน้าที่ในการปราบปรามยาเสพติดด้วย
           นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เปิดเผยถึงการสอบสวนคดีลักลอบนำเข้าซูโดอีเฟดรีน จากประเทศเกาหลี ด้วยการสำแดงเท็จว่า คดีดังกล่าว ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ หรือ กคพ. ได้กำชับให้ทำงานอย่างรอบคอบและรวบรวมหลักฐานให้สมบูรณ์ที่สุด เพราะเป็นการสั่งซื้อและลักลอบนำเข้าล็อตใหญ่ เพราะเป็นการสั่งซื้อและลักลอบนำเข้าล็อตใหญ่ นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิมไม่ขัดข้องที่จะเสนอให้บอร์ด กคพ.รับเป็นคดีพิเศษ เพราะไม่เป็นคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำยาแก้หวัดออกจากระบบของโรงพยาบาล ทั้งนี้ในชั้นการสืบสวนเบื้องต้น บริษัทที่ข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.ระบุว่าเป็นผู้สั่งซื้อและนำเข้าซูโดอีเฟดรีน 40 ตัน ได้ให้การปฏิเสธว่าถูกแอบอ้างนำชื่อบริษัทไปใช้สั่งซื้อยาจากเกาหลีโดยชี้แจงว่าบริษัทนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์และนำเข้าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ดังนั้นดีเอสไอจะส่งพนักงานสอบสวนไปขอข้อมูลจากประเทศเกาหลี เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงว่าบุคคลใดเป็นผู้สั่งและลักลอบนำเข้าผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของสนามบินโดยสำแดงเท็จ
           ทางด้านนายธนกิจ จิตอารีรัตน์ ผู้ช่วยเลขานุการและโฆษกคณะทำงานปราบปรามฟื้นฟูเยียวยาด้านยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีการหายไปของยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน จากโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนอีกหลายแห่งว่า คณะทำงานลงพื้นที่ตรวจสอบโรงพยาบาล และบริษัทจำหน่ายยาอย่างต่อเนื่องโดยพบว่ามีโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็กจำนวน 3 แห่ง อยู่ใน จ.เชียงใหม่ 2 แห่ง และ จ.ลำพูน อีก 1 แห่ง พบว่าหายไปจำนวน 900,000 เม็ด โดยที่ จ.ลำพูนมีจำนวนมากที่สุด ทั้งนี้มองว่าโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก แต่ยาหายจำนวนมาก โดยคณะกรรมการอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบเอกสาร หลักฐานการสั่งซื้อยาจำนวนดังกล่าว เนื่องจากขณะนี้มีตัวเลขตั้งต้นแล้ว ซึ่งจะนำมาเปรียบเทียบกับมีตัวเลขตั้งต้นแล้ว ซึ่งจะนำมาเปรียบเทียบกับจำนวนจริง อย่างไรก็ตามคณะกรรมการมีการประชุมทุกสัปดาห์ เพื่อสรุปผลดำเนินการตรวจสอบต่อไป
           วันเดียวกันที่ห้องประชุมกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดพะเยา พ.ต.อ.ประทักษ์ เจริญศิลป์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพะเยา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม สภ.แม่ใจ นำตัวนายกร กฤต หรือธนกฤต วงศ์จีน อายุ 40 ปี ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดชุมพร ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลธัญบุรี ในความผิดฐาน "ร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 2 (ซูโดอีเฟดรีน) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย" แถลงข่าวหลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดพะเยาและตำรวจ สภ.แม่ใจ จับกุมตัวได้ขณะเดินทางมาเยี่ยมบุตรสาวที่บ้านเลขที่ 119 หมู่ 8 ต.แม่ใจ อ.แม่ใจ จ.พะเยา เมื่อวันที่22 เม.ย.ที่ผ่านมา
           พ.ต.อ.ประทักษ์ เปิดเผยว่า นายกรกฤต หรือธนกฤต วงศ์จีน ได้หลบหนีการจับกุมของตำรวจ สภ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี หลังจากเมื่อวันที่9 ต.ค.54 เจ้าหน้าที่ได้สืบทราบว่าบ้านเช่าเลขที่ 31/115 หมู่ 17 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา ซึ่งนายกรกฤตได้เปลี่ยนชื่อเป็นนายธนกฤตวงศ์จีน เช่าอยู่ มีการลักลอบผลิตยาเสพติด จึงได้ขอหมายศาลจังหวัดธัญบุรีเข้าทำการตรวจค้นพบอุปกรณ์ผลิตยาเสพติดจำนวน 36 รายการ สารซูโดอีเฟดรีนบริสุทธิ์จำนวน 650 กรัม แต่ไม่พบผู้ต้องหา ต่อมาเจ้าหน้าที่สืบทราบว่านายธนกฤตได้หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 119 หมู่ 8 ต.แม่ใจ อ.แม่ใจ จ.พะเยา ซึ่งเป็นบ้านของอดีตภรรยา จึงได้นำหมายศาลเข้าตรวจสอบ และพบผู้ต้องหาอยู่บริเวณหน้าบ้าน จึงแสดงหมายศาล และควบคุมตัวผู้ต้องหามาทำการสอบสวนพร้อมทั้งแจ้งข้อหา "ร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 2 (ซูโดอีเฟดรีน) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย" เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ แต่ยอมรับว่าได้เช่าบ้านหลังดังกล่าวจริง โดยเช่ากับเพื่อนคือนายบุญลือ(ไม่ทราบนามสกุล) มีอาชีพเป็นผู้รับเหมาด้วยกัน และเช่าไว้ประมาณ 2 เดือน โดยนายบุญลือเป็นคนโอนค่าเช่ามาให้ตน หลังจากนั้นตนก็ได้ไปรับเหมางานที่ จ.ระยอง และชลบุรี แต่กิจการไม่ดีจึงได้ไปค้าขายผลไม้ที่ จ.จันทบุรี ก่อนถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้ขณะเดินทางไปเยี่ยมบุตรสาวที่ อ.แม่ใจ จ.พะเยา โดยปฏิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นกับสารเสพติดดังกล่าว และหลังจากออกจากห้องเช่าไปแล้วก็ไม่ทราบว่าใครมาเช่าต่อ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำผู้ต้องหาส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.แม่ใจ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
           สำหรับความคืบหน้าการขยายผลการบุกตรวจค้นเรือนจำนครศรีธรรมราชนั้น พล.ต.ต.รณพงศ์ ค้นเรือนจำนครศรีธรรมราชนั้น พล.ต.ต.รณพงศ์ ทรายแก้ว ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า การตรวจยึดโทรศัพท์มือถือนั้นเป็นประโยชน์มาก เป็นจุดเริ่มต้นในการนำเอาข้อมูลในโทรศัพท์มาใช้ จากการรวบรวมข้อมูลนั้นเครือข่ายค้ายาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดคือเครือข่ายเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชที่เชื่อมโยงกับเรือนจำบางขวางเชื่อมต่อไปยังลาวและพม่า ครั้งนี้ข้อมูลที่มีนั้นสามารถนำไปสู่การออกหมายจับและเพิ่มโทษผู้ต้องขัง และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่เกี่ยวข้องต้องถูกยึดทรัพย์ ส่วนเจ้าหน้าที่ที่นำเข้าสิ่งของต้องห้ามนั้นมีข้อมูลอยู่จะส่งให้อธิบดีราชทัณฑ์ดำเนินการ
           "ข้อมูลการสืบสวนนั้นพบว่า ในการขว้างโทรศัพท์เข้าเรือนจำวงจรปิดจับภาพได้ว่า ผู้คุมเข้าไปเก็บแล้วพาหายไปเลย หมายความว่าอย่างไร เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงทางอ้อมมีอยู่ด้วยกันประมาณ 30-40% ส่วนของนักโทษที่เป็นผู้ค้าในเรือนจำนั้นมีหลายราย ในระดับค้าครั้งหนึ่งเป็นสิบล้านบาท เป็นระดับรายใหญ่ที่เราจะเอาเรื่องเขาได้เป็นระดับบริหารคอนโทรลเครือข่าย ในอดีตเขาปล่อยปละละเลยเพราะเขาไม่กลัว แต่วันนี้ผมประกาศไปแล้วว่าจะไม่เว้น ข้อมูลที่ผมทำไปถึงนั้นจะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ตอนนี้เปลี่ยน ผบ.เรือนจำแล้ว ต้องเปลี่ยนคนอื่นในเรือนจำด้วยถ้าย้ายออกไปจะสะดวกในการทำงานมากกว่า" ผบก.ภ.จว. นครศรีธรรมราช กล่าว
           ด้าน พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กล่าวถึงการดำเนินคดีในส่วนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องว่า ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.สมศักดิ์ แววพานิช ผู้อำนวยการ ป.ป.ท. เขตพื้นที่ 8 ประสานการทำงานร่วมกับตำรวจภูธร หากมีการแจ้งข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่คนใดก็จะส่งเรื่องมาให้ป.ป.ท.ตรวจสอบทันที