เมื่อประโยชน์ของการอ่านมีมากมายเหลือคณานับ ทั้งช่วยสร้างสมาธิจินตนาการและปัญญา ให้แก่เด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติได้จริง คำกล่าวของมอร์ติเมอร์ เจ. เอ็ดเลอร์นักปรัชญาชาวอเมริกันที่ว่า "การอ่านเป็นพื้นฐานของการมีชีวิตที่ดี" ก็คงไม่ได้เป็นคำกล่าว ที่เกินจริงไปนัก...

          กลางเดือนที่ผ่านมาสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ร่วมกับ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (สอร.)สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) จึงได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกัน (MOU) หวังปลูกฝังค่านิยมเยาวชนและคนไทยมีนิสัยรักการอ่าน ทักษะสำคัญอันจะนำไปสู่การพัฒนา "คน" คุณภาพของประเทศในภายภาคหน้า

          โอกาสนี้ ดร.สิริกร มณีรินทร์ประธานคณะอนุกรรมการสำนักงานอุทยานการเรียนรู้กล่าวปาฐกถา ในหัวข้อ "แหล่งเรียนรู้ของสังคมไทยในวันพรุ่งนี้"ว่า ปีนี้สำนักงานอุทยาการเรียนรู้ดำเนินงานมาครบเป็นปีที่ 9 แล้วเมื่อนำโลกปัจจุบันเทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อนก็น่าจะถึงเวลาต้องทบทวนแล้วว่า จะต้องจัดเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนไทยในด้านใดบ้าง เพื่อรับมือกับการใช้ชีวิตบนโลกในศตวรรษที่ 21 ต่อไป

          "ต้องยอมรับว่า 'สังคมออนไลน์' ในยุคปัจจุบันเป็นแหล่งหาข้อมูลข่าวสารหนึ่งซึ่งทำให้โลกเชื่อมต่อถึงกันหมด เป็นการเชื่อมต่อที่แฝงไว้ด้วยความเป็นพื้นบ้านของผู้ใช้เข้าไปด้วย มีการแบ่งปันข้อมูลอย่างแพร่หลายทุกอย่างจึงเชื่อมติดกันง่ายขึ้น เด็กๆ คุ้นเคยกับความรวดเร็วและจะเกิดอาการทนไม่ได้ หากพบกับอะไรที่เชื่องช้าเกินไป เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ สิ่งที่ต้องทำก็คือการเตรียมความพร้อมให้เด็กรู้จักแยกแยะและเลือกรับข้อมูลข่าวสารด้วยสติ รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรแบ่งปัน

          ดังนั้น นอกเหนือจากจะต้องเร่งสร้างแหล่งเรียนรู้ที่ดี และร่วมกันทำห้องสมุดมิติใหม่ซึ่งเป็น 'ศูนย์กลาง'ของสังคมเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นแล้วในโลกตะวันตกและตะวันออกอีกหลายๆ ประเทศ การปลูกฝังหลักธรรมพื้นฐานให้กับเด็กๆ อย่าง ศีล 5 หรือพรหมวิหาร 4 ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นด้วย"ดร.สิริกร กล่าว

          ด้านรศ. ประภาภัทร นิยมประธานคณะอนุกรรมการบริหารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส.กล่าวถึงการสร้างเสริมสุขภาวะ 4 มิติผ่านกระบวนการเรียนรู้ว่า เป็นไปเพื่อการ

          สร้างเด็กของวัน 'พรุ่งนี้' กำลังสำคัญที่จะบอกว่าประเทศจะอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่ในศตวรรษที่ 21

          ขณะนี้ต่างประเทศตื่นตัวมากว่า เด็กๆ จะเติบโตขึ้นเป็นอย่างไรต่อไปในยุคดิจิตอล ขณะเดียวกัน ตนซึ่งเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว จะสร้างเบ้าหลอมให้เด็กๆเติบโตขึ้นมาเป็นประชากรโลกคุณภาพที่สามารถยืนอยู่แนวหน้าได้อย่างไร เพราะทุกคนล้วนตระหนักดีว่า ความสามารถของคนคุณภาพคือทุนในการพัฒนาประเทศ ซึ่งการลงนามครั้งนี้ก็เปรียบได้กับการสร้างเบ้าหลอมใหม่ๆ ที่จะต้องคิดว่า จะสร้าง 'ทุน' อย่างไร ซึ่งทุนในที่นี้อาจเริ่มต้นจากการสร้างสุขภาวะทางปัญญาให้เกิดขึ้นในตัวเด็กก่อน เพราะถ้าปัญญาได้รับการดูแลเป็นอย่างดีด้านอื่นๆ ก็จะดีตาม พร้อมทั้งยังแบ่งปันและสร้างสรรค์ให้คนอื่นได้อีกด้วย"

          สำหรับประเด็นความร่วมมือในครั้งนี้ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ให้ความเห็นว่า แม้ว่าที่ผ่านมา 2 องค์กรจะมีลักษณะการดำเนินงานที่แตกต่างกัน แต่เมื่อมองถึงเป้าหมายของการทำงานแล้ว จะเห็นได้ว่ามีจุดที่เชื่อมโยงกันอยู่และสามารถนำมาต่อยอดร่วมกันได้ โดยจะมีการกระจายองค์ความรู้ไปยังต่างจังหวัดที่เป็นเครือข่ายของสสส.และสอร. ด้วย

          "ความร่วมมือครั้งนี้ ตั้งใจส่งเสริมในทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ผ่านองค์ความรู้ และกิจกรรมสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยยกตัวอย่างเช่น การจัดนิทรรศการหมุนเวียนไปยังพื้นที่ต่างๆ พร้อมทั้งเชื่อมโยงฐานข้อมูลของสสส. และทางสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ไว้ด้วยกันทำให้ทุกคนที่เข้าใช้บริการห้องสมุดสร้างปัญญา หรือห้องสมุดของมีชีวิตของทีเคปาร์ค สามารถค้นข้อมูลที่เป็นองค์ความรู้ของของเราทั้งคู่พร้อมกันได้ นอกจากนี้ สสส.ยังหวังให้การทำงานครั้งนี้เป็นการกระตุ้นให้คนไทยมีนิสัยรักการอ่าน พร้อมทั้งเห็นคุณค่าของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อการมีสุขภาวะที่ดีได้ด้วยตัวเอง" ทพ.กฤษดา กล่าวทิ้งท้าย