นพ.สุรพงศ์ อำพันวงษ์
ในเรื่องของยาต้านไวรัสเอดส์นั้น "ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม" รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ให้ข้อมูลว่า หลายคนอาจยังมีความเข้าใจผิดอยู่มากเกี่ยวกับยาต้านไวรัส คนจริงๆ แล้วยาต้านไวรัสเอดส์นี้ไม่ใช่ยาฆ่าเชื้อ เช่นเดียวกับยาต้านไวรัสโรคอื่นๆ แต่เป็นยากดเชื้อไม่ให้มีการแบ่งตัว ช่วยให้ CD4 ของเรามีเวลาผลิตขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อไวรัสเหล่านั้นได้ เพราะฉะนั้นการที่ระดับ CD4 เพิ่มขึ้นได้ก็เพราะเราไปกดเชื้อไม่ให้แบ่งตัวนั่นเอง ดังนั้นผู้ติดเชื้อจึงจำเป็นต้องรับประทานยาต้านไวรัส HIV ไปตลอดชีวิต เพื่อช่วยกดเชื้อไม่ให้แบ่งตัวและเพื่อให้ CD4 มีเวลาผลิตขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อโรค
ด้วยเหตุที่ต้องรับประทานยาดังกล่าวไปตลอดชีวิต หลายคนจึงเกิดความกลัวถึงผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น เรื่องนี้ผมขออธิบายว่า จริงๆ แล้วยาเกือบทุกชนิดสามารถทำให้เกิดอาการแพ้และผลข้างเคียงได้ ไม่เว้นแม้แต่ยาพาราเซตามอล ขึ้นอยู่กับว่าใครจะแพ้หรือไม่ และแพ้มากน้อยแค่ไหน...ยาต้านไวรัสเอดส์ก็เช่นเดียวกัน โดยอาการแพ้หรือผลข้างเคียงที่พบ เช่น มึนศีรษะคล้ายคนเมา คิดช้า เพราะยาดังกล่าวจะมีผลต่อสมอง ซึ่งจะเป็นในช่วงแรกๆ ของการรับประทานยาเท่านั้น หลังจากนั้นสมองจะเริ่มปรับตัวรับกับยาดังกล่าวได้ อาการก็จะดีขึ้น แต่ในกรณีที่ผ่านไป 1-2 เดือนแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการปรับยาให้เหมาะสม ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผลข้างเคียงของยาต้านไวรัสมักจะไม่เกิดในคนหนุ่มคนสาว แต่มักเกิดในผู้ที่มีโรคอยู่แล้ว เช่น เบาหวาน ไตไม่ดี รวมถึงคนสูงอายุ ครับ
ถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายคนคงมองเห็นประโยชน์ของการรับประทานยาต้านไวรัส HIV กันบ้างแล้วไม่มากก็น้อย แต่ผมเชื่อครับว่า ร้อยทั้งร้อยของผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าติดเชื้อนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคนที่จะทำใจยอมรับได้ ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องดูแลจิตใจก่อนครับ ทั้งตัวผู้ติดเชื้อเองและคนใกล้ชิดควรให้ความเข้าใจและต้องรู้ว่าจริงๆ แล้ว โรคเอดส์ สามารถรักษาได้ ถ้ากำลังใจดีแล้วก็มาเริ่มต้นรักษาด้วยยา เมื่อทานยาไปแล้วมีผลข้างเคียงก็อย่าเพิ่งท้อ ให้รีบปรึกษาแพทย์ เพื่อปรับยาให้เหมาะสม และอย่าลืมทานยาอย่างสม่ำเสมอด้วยครับ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยเองก็ผลิตยาต้านไวรัสได้ส่วนหนึ่ง จึงทำให้ราคาของยาต้านไวรัสเอดส์นั้นไม่สูงมากนัก มีตั้งแต่ราคาหนึ่งพันต้นๆ ไปจนถึง 3000 บาทต่อเดือน และด้วยนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงยานี้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นไม่กี่ประเทศในโลกที่มีนโยบายให้คนเข้าถึงยารักษาโรคเอดส์ได้ครับ
แต่ไม่ว่าจะมียาต้านไวรัสมาช่วยดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบัน หรือในอนาคตอาจมีวัคซีนป้องกันเชื้อ HIV ก็ตาม สำหรับผมมองว่ามันเป็นการรักษาและการป้องกันที่ปลายเหตุครับ เพราะการป้องกันที่ดีที่สุดคือ สังคมไทยต้องก้าวผ่านความอายไปให้ได้ เช่น การให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาสำหรับเด็กแบบไม่ปิดกั้น เพราะยิ่งเราปิด เด็กก็จะไปขวนขวายหาสิ่งที่เขาอยากรู้ด้วยตนเอง ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ดังนั้นผู้ใหญ่ควรต้องสอนให้เด็กเข้าใจเรื่องเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ผมเชื่อครับว่าการสอนและการปลูกฝังเด็กทั้งในโรงเรียนและการสื่อในสังคมอย่างกว้างๆ จะช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัส HIV ได้อย่างยั่งยืน