HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
บ้านเมือง [ วันที่ 22/10/2556 ]
แค่พูด-หายใจ ทำไมเหนื่อย...มันโรคอะไร...?

 

  กิตติ บุษปวนิช
          เป็นสำนวนติดปากหนึ่งในหมู่เพื่อนฝูง ใช้หยอกเย้ากับคนบางคน ที่ชอบทำตัวเหมือนคนขี้โรค...คนจำพวกนี้เป็นมนุษย์ไร้ชีวิตชีวา ไม่ว่าทำอะไรดูว่าเหนื่อยง่าย แค่เดินขึ้นบันไดก็หอบลิ้นห้อย
          ในที่สุดเซ็งตัวเอง วันๆ เอาแต่นั่งหน้าจอทีวี หรือไม่ก็ติดอยู่กับเก้าอี้ แค่ลุกไปขี้-ไปเยี่ยว ไปตักข้าวกินเท่านั้น สุดท้ายใครเจอเข้า ก็ต้องว่าเป็นโรคสันหลังยาว เพราะเอาแต่กินกับนอน การงานไม่ยอมแตะ โรคนี้หากเกิดกับคนเฒ่าคนแก่ ลูกหลานพอรับได้ เพราะรู้ว่าแก่แล้วแก่เลย คงไร้เรี่ยวแรงจะไปทำอะไร
          เท่าที่เห็น...จะพบแต่คน "โตมาเพราะกินข้าว แก่เฒ่าเพราะอยู่นาน" แทบทั้งนั้น นี่เป็นอมตะวาจา ผมใช้ด่าเพื่อนจำพวกนี้แหละ มันก็แก่เท่าเรา เรียนจบมาพร้อมกัน เห็นหน้ากันประจำ จู่ๆ ช็อตเซอร์กิต เริ่มนิ่งไปเฉยๆ ทุกคนเลยวัยเกษียณไม่เท่าไร แต่ไม่เตรียมตัวรับมือแต่เนิ่นๆ พอถึงสิ้นเดือนตุลาคม โรคซึมเศร้าตามมาติดๆ...เพื่อนผมไม่น้อยเป็นโรคนี้กัน เริ่มเอ๋อไปเรื่อย เห็นเราเป็นคนแปลกหน้า เจอกันเหมือนไม่รู้จักมาก่อน
          แรกๆ ดูยังแข็งแรง เตะปี๊บดังลั่นบ้าน แล้วเรี่ยวแรงค่อยๆ ถดถอยหายไป กลายเป็นคนไม่ค่อยยอมเคลื่อนไหว ลูกหลานเริ่มเห็นอนาคตของตัวเองชัดขึ้น อนาคตที่ว่า ไม่ใช่ความก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน เป็นภาระจำยอมที่ต้องดูแลพ่อ-แม่ ซึ่งทำท่ายอมแพ้สังขารตนเอง
          แม้ดูว่าเป็นหน้าที่ ลูกต้องตอบแทน เลี้ยงดูบุพการี ตามกติกาสังคม...แต่ลูกทุกคนคงอยากเห็นพ่อ-แม่ในสภาพของผู้สูงวัยที่ไม่ป่วย ต่างอยากเห็นพ่อ-แม่สุขกายสบายใจ
          เพราะการดูแลพ่อ-แม่ หรือผู้สูงวัยที่พึ่งตนเองไม่ได้ มันบั่นทอนทุกอย่าง เสียทั้งเงิน ทั้งเวลา อนาคตทางหน้าที่การงานอาจมีปัญหาตามมา...ลูกๆ เพื่อนหลายคนวิ่งมาฟ้องผมประจำ ช่วยไปเคลียร์กับพ่อกับแม่ให้หน่อย ไอ้เพื่อนผมกลุ่มนั้น มันมีอาการเลอะเลือนไปแล้ว ไม่ใช่เลอะเลือนชั่วครู่เหมือนขุนนางในวังที่เพ็จทูนฮ่องเต้ แล้วสอพลอว่ามันสมควรตายร้อยครั้งให้สาสมความผิด อาการเลอะเลือนที่พูดถึง มันชักกู่ไม่กลับ ลูกหลานเริ่มเดือดร้อนสิ
          บางคนบ้านใกล้ผมก็ไปปลอบไปด่าได้บ่อย บางรายเห็นอาการแล้ว กู่ไม่กลับจริงๆ เห็นหน้าเพื่อนที่เคยกินนอนมาด้วยกัน เคยแบ่งข้าวกันกิน วันนี้กลับเหมือนคนแปลกหน้า พอเซ้าซี้เข้าขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ไม่อยากเสวนาด้วย
          ...เพราะ...พูดแล้วเหนื่อย...บางทีหายใจยังไม่ทันเลย
          และหากมีใครมาคุย พยายามจะพูดด้วย รู้สึกว่ามันช่างทรมาน วันๆ ไม่อยากคุยกับใคร ในที่สุดอาการหนักขึ้น ผมมีเพื่อน มีญาติ เป็นโรคนี้อยู่สี่มุมเมือง
          ไอ้โรคที่ว่า แค่พูดก็เหนื่อย หายใจก็เหนื่อย มันลามไปไม่ใช่เฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ คนในวัยทำงาน ช่วงอายุ 40 ปี บวกลบ 10 ปี โดนโรคเหนื่อยหอบเล่นงานก่อนวัยอันสมควร ญาติพามาให้ดูอาการ เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง ทั้งที่คนในวัยดังกล่าว ล่วงพ้นเลยไปแค่ 30 กว่าๆ หรือยังไม่ถึง 50 อันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของอนาคต
          ด้วยคนในวัยเลย 30 แล้ว สมองเริ่มมีพัฒนาการทางความคิดพ้นจากวัยเด็กเด็ดขาด และในคนที่สู่กึ่งศตวรรษ ช่วงนี้สมองสะสมประสบการณ์เต็มเปี่ยม ชีวิตพร้อมสรรพสำหรับการต่อสู้ สามารถเป็นผู้บริหารได้ มีความสุขุมรอบคอบ...แต่หากใครก็ตามที่ไม่เป็นไปอย่างที่พูดถึง ต้องพิจารณาตนเองแล้ว ใครที่เลยวัย 30 แล้วยังฟังเพลงของเด็กอายุ 15 ติดละครน้ำเน่าอีก ให้ไปวัดไอคิวตัวเองได้เลย อย่าเถียงด้วยเหตุผลแบบเอาสีข้างถู ไม่ขอเถียงด้วย ให้วิทยาศาสตร์ช่วยอธิบายดีกว่า...และสำหรับใครที่วัยสู่กึ่งศตวรรษ แล้วสมองยังไปไม่ถึงไหน ก็คงไม่ต่างจากไอ้หนุ่มที่พูดถึง
          ไม่ใช่ดูถูกดูแคลนมนุษย์ด้วยกัน...ผมรักษาคนป่วยด้วยการตรวจสอบพฤติกรรมเป็นบรรทัดฐาน โดยเก็บข้อมูลเป็นสถิติจากพฤติกรรมต่างๆ จึงชัดว่าใครทำอะไรมาอย่างไร แล้วจะป่วยเป็นอะไร ผมต้องรู้ว่าคนป่วยที่ยื่นแขนให้ผมจับข้อมือ ใช้ชีวิตมาอย่างไร เพื่อไปให้ถึงต้นเหตุ เพื่อนผมหลายคนตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ยังเมาไม่เลิก
          พฤติกรรมเยี่ยงนี้ สุดท้าย...บั้นปลายชีวิตต้องป่วย
          ไม่ต้องตรวจยังรู้ เห็นไกลไปถึงอนาคตก็ว่าได้ ว่าคนกลุ่มนี้จะป่วยด้วยโรคอะไร อย่างผู้ป่วยเบาหวาน หรือความดันฯ พฤติกรรมคือ กินแต่อาหารให้พลังงานสูง เกิดจากการตามใจปาก ก็ต้องไปแก้ที่ปาก ต้องฝึกจิตฝึกใจ รู้จักระงับความอยาก ไม่ยอมให้ใส่อะไรผ่านช่องปากเข้าไป ไม่ใช่กินยาสะกดน้ำตาลกับไขมันไม่ให้มันอาละวาด เป็นการแก้ปัญหาแบบมักง่ายไร้สติ
          กรณีโรคเหี่ยวแห้งเรี่ยวแรงหมดเช่นกัน ต้องรักษาที่เหตุ ดูเหตุ หาเหตุให้พบ หากยังหาเหตุไม่พบ ผู้ป่วยก็ยังคงอ่อนระโหยโรยแรง...พูดก็เหนื่อย หายใจไปพูดไปก็ยิ่งเหนื่อย
          นี่คือ โรคจิต...เป็นโรคนั่งรอความตาย หากใครเป็นโรคนี้ หมอจะพาออกทะเลหรือเข้ารกเข้าพงไปเลย คุณกินไม่ได้ หมอรู้ว่าขาดอาหารก็จะได้รับวิตามินเสริมกลับบ้าน...นอนไม่หลับเรอะ แรกๆ ลองยากล่อมประสาทก่อน แล้วค่อยเพิ่มของแรงขึ้นตามลำดับ
          นี่ไงหลงทางไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แก้เท่าไรก็ไม่หลุด เพราะต้นเหตุอยู่ที่สภาวะจิต ต้องให้ผู้ป่วยยอมลุกจากเก้าอี้ หรือเตียงนอนขึ้นมาสู้
          การอยู่นิ่งนานเกินไป หรือเคลื่อนไหวน้อยเกินไป...เซลล์มันจะเฉื่อย...เมื่อเซลล์เฉื่อย...ระบบการเผาผลาญจะลดลง ในขณะที่จะเกิดคาร์บอนมากขึ้น เป็นการเผาผลาญไม่สมบูรณ์แบบเหมือนเครื่องยนต์ จะส่งผลไปถึงระบบเลือดโดยตรง เลือดที่ทำการเผาผลาญและไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ จะกลายเป็นเลือดดำ คือเลือดมีการปนเปื้อนเข้าสู่ปอด
          เมื่อปอดได้รับเลือดดำมาก...ปอดก็ต้องการออกซิเจนจำนวนที่สมดุล เพื่อใช้ฟอกเลือดให้สะอาด เพื่อส่งเลือดกลับเข้าสู่ระบบดังเดิม การเติมออกซิเจนให้ร่างกาย นอกจากอาหารแล้ว...สำคัญที่สุด ทุกคนต้องเคลื่อนไหว ใครที่เคลื่อนไหวตลอดเวลาช่วงกลางวัน หรือตั้งแต่เช้าจนอาทิตย์ลับขอบฟ้า คนนั้นจะมีออกซิเจนใช้ฟอกเลือกเพียงพอ ยิ่งใครรักการออกกำลังกายตามสมควรอย่างเหมาะสม ปริมาณออกซิเจนยิ่งเหลือใช้
          ฟันธง...ใครก็ตามที่เป็นโรคเบื่อชีวิต จนหายใจยังเหนื่อย พูดก็เหนื่อย คือคนขี้โรค อยู่ในภาวะขาดออกซิเจน ส่วนจะรุนแรงแค่ไหน ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยรายนั้น ว่าป่วยจริงป่วยปลอม ป่วยทางกายหรือทางใจ เป็นโรคซึมเศร้า หรือเครียดสะสมแล้วไม่รู้ตัว
          ผู้ป่วยต้องพยายามรู้ตนเองให้ได้...แต่โดยรวมแล้ว ผู้ป่วยจำพวกนี้ เป็นพวกดื้อตาใส พูดอะไรคงไม่ฟัง บางรายอาจเป็นพวกหลังยาวด้วยซ้ำ ทำอะไรได้แต่ไม่ทำ สู้นั่งๆ นอนๆ ดีกว่า...มันสบาย ลูกหลานบ่นก็บ่นไป
          ที่พูดมา คือผู้ป่วยทางจิต สำหรับผู้ป่วยทางกายก็เป็นโรคนี้แทรกซ้อนได้...จะเห็นได้ว่าผู้ป่วยบางราย ไม่ได้ป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ นานวันเข้า เมื่อต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ระบบทางเดินหายใจจะอ่อนแอตามไปด้วย ทำให้การเติมออกซิเจนเข้าสู่ระบบขัดข้องตามมา ดังนั้นใครที่ป่วยช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องรีบฟื้นคืนชีพให้เร็วที่สุด ต้องพยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้แคล่วคล่อง
          อีกพวก...ที่ป่วยไม่รู้ตัว...พวกสิงห์อมควัน
          บุหรี่...คือหายนะต่อสุขภาพ...มันเป็นพระยายมที่จัดไฟแนนซ์ผ่อนส่งชีวิต ด้วยการใช้เงินซื้อผ่านบุหรี่ ผ่อนหมดก็เอาชีวิตไป คนสูบบุหรี่จะมีปัญหาในระบบทางเดินหายใจ เพราะเส้นเลือดในร่างกายทั้งหมดเสียหาย ทั้งเส้นเลือดใหญ่และเส้นเลือดฝอย เลือดก็มีการปนเปื้อนนิโคติน ทำให้เลือดหนืด เป็นการเพิ่มภาระให้การฟอกเลือด ซึ่งต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมากขึ้น แต่อากาศที่สูดเข้าปอดกลับมีการปนเปื้อน...ควันบุหรี่เป็นคาร์บอน จึงเท่ากับมีการเติมของเสียซ้ำเติม
          การไม่ใส่ใจตนเอง แม้ได้อาหารดี มีเงินจ่ายค่าโง่ซื้ออาหารเสริมกิน ร่างกายก็ยังคงแย่ ปอดไม่มีแรงบีบตัวเท่าที่ควร...หากขาดการออกกำลังกาย ดังนั้นระหว่างที่พยายามพูดจึงรู้สึกเหนื่อย เพราะมีการใช้ปฏิกิริยาซ้ำซ้อน ทำให้ระบบหายใจไม่ทัน ในปอดจึงได้รับออกซิเจนไม่พอ ระบบการฟอกเลือดเกิดชะงักเป็นช่วงๆ โดยมันแสดงผลให้เห็นทันทีทันใด...คืออาการเหนื่อยเป็นพักๆ นั่นไง
          จะบอกว่านี่เป็นโรคเซลล์เฉื่อย หรือเซลล์เสื่อมก็คงไม่ผิด จะบอกว่าเป็นภาวะทางจิตก็ใช่ สมมติฐานมีได้หลายทาง ผมมีคนป่วยประเภทนี้เยอะ ใครปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างที่สอนไปได้ก็หาย...ขอยืนยัน ไม่ต้องกินยา กินข้าวให้อิ่ม แล้วไปเต้นแร้งเต้นกาให้เส้นสายมันยืด เท่านี้เอง !!
          คนสูบบุหรี่จึงเป็นโรคนี้กันทั้งนั้น แต่มักปากดี ท้าทายความตาย โดยไม่รู้ว่ามันทรมานปานใด ระหว่างรอคิวสู่ยมโลกนี่แหละจะดิ้นทุรนทุราย
          สรุปได้ว่าเป็นโรคของคนขี้เกียจ ไม่ใส่ใจสุขภาพ ไม่ชอบออกกำลังกาย...หมอใบไม้...08-5151-8844

pageview  1205849    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved