HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
หนังสือพิมพ์แนวหน้า [ วันที่ 20/04/2555 ]
DSIเค้น4ผอ.รพ.พันทุจริตยาซูโดฯโพลล์ชี้นักเสพอื้อ3.7ล้านคนทั่วปท.

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 19 เมษายนผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนาผอ.รพ.ศูนย์อุดรธานี นพ.สาโรจน์ ใจมุขผอ.รพ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ นพ.ดนวัตชุณหวาณิชย์ ผอ.รพ.ฮอด และ นพ.สาธิตกิมศิริ ผอ.รพ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีการลักลอบนำยาสูตรซูโดอีเฟดรีน ออกจากระบบ รพ.ได้เดินทางเข้าพบ นายสรรเสริญ ปาลวัฒน์วิไชย รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ เพื่อให้ปากคำในฐานะพยานโดยมีการกำหนด ประเด็นเพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการควบคุม กำกับดูแล การจัดซื้อ เบิกจ่ายและเก็บยาดังกล่าว ว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางวิชาชีพที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนดไว้หรือไม่ โดยมีการแยกห้องสอบปากคำอย่างเคร่งเครียดนานกว่า 5 ชั่วโมง
          พ.ต.ท.พงศ์อินทร์กล่าวต่อว่า ข้อมูลที่ได้รับจาก ผอ.รพ.ที่เข้ามาชี้แจงในวันเดียวกันนี้ ถือว่ามีประโยชน์ต่อการสอบสวนอย่างมาก โดยหลังจากนี้จะนำข้อมูลทั้งหมดไปตรวจสอบกับข้อมูลที่ได้รับจากผู้แทนของสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกองสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ว่าตรงกันหรือไม่ อย่างไรก็ดี ภายในสัปดาห์หน้าจะทยอยเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ต่างๆ มาสอบปากคำ ทั้งผู้อนุมัติเบิกจ่ายยา แพทย์เภสัชกร รวมถึงเจ้าหน้าที่ห้องยา
          "ผอ.รพ.ต่างๆ ให้ความร่วมมืออย่างดีในการให้ปากคำ มีการเตรียมเอกสารมาชี้แจงจำนวนมาก เช่น นพ.พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผอ.รพ.ศูนย์อุดรธานี ซึ่งมียาแก้หวัดหายไปมากที่สุด 7.2 ล้านเม็ด มีการจัดซื้อยาแก้หวัดถึง 129 ครั้ง ได้นำเอกสารการยอมรับผิดของนายสมชาย แซ่โคว้เภสัชกร ที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดียักยอกทรัพย์จาก รพ.ดังกล่าว มามอบให้เพื่อยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ขณะที่ ผอ.รพ.ทองแสนขัน ให้ทนายความร่วมรับฟังการสอบปากคำด้วย" พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ กล่าวและว่า ในการชี้แจงของแต่ละ รพ.มีความแตกต่างกันในรายละเอียด ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน
          ผบ.สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ กล่าวอีกว่า สำหรับการแจ้งข้อกล่าวหานั้นจำเป็นต้องหารือร่วมกับพนักงานอัยการ ซึ่งต้องพิจารณาตามพยานหลักฐานเป็นรายบุคคลหากมีหลักฐานเพียงพอว่ากระทำความผิดก็สามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้โดยไม่ต้องรอให้สอบเสร็จในทุกสำนวน ส่วนในวันที่ 20 เมษายนนี้ ทางดีเอสไอ ได้เรียกสอบ ผอ.รพ.อีก 8 แห่ง คือ รพ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์รพ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ รพ.นวมินทร์ 1 กทม.รพ.สยามราษฎร์ จ.เชียงใหม่ รพ.หนองกี่จ.บุรีรัมย์ คลินิคสุพรชัย จ.ลพบุรี และคลินิคหมอสัมพันธ์เวชกรรม จ.เชียงใหม่รวมถึงเรียกสอบปากคำผอ.รพ.เซ็นทรัลเมโมเรียล จ.เชียงใหม่ ซึ่งดีเอสไอได้รับสำนวนมาเพิ่มเติมด้วย
          ขณะที่ นพ.พิชาติ ผอ.รพ.ศูนย์อุดรธานี กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นตนได้ให้ข้อมูลว่าเภสัชกรของทาง รพ.เป็นผู้ยักยอกยาสูตรดังกล่าวจำนวน 7.2 ล้านเม็ด โดยมีเอกสารขั้นตอนการเบิกจ่าย การจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ปี 2535 และในการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีเพียงนายสมชาย แซ่โคว้ เภสัชกรชำนาญการเพียงรายเดียวที่เกี่ยวข้องโดยทำเอกสารเท็จทุกขั้นตอนสำหรับเภสัชกรรายนี้ตนไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว ก่อนเกิดเรื่องก็ยังไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ เพราะทาง รพ.มีเจ้าหน้าที่กว่า 2,000 คน เรื่องการจัดซื้อ ตนไม่ได้ลงไปตรวจสอบในรายละเอียดเพราะมีหัวหน้าแต่ละสายงานควบคุมดูแลอยู่แล้ว
          วันเดียวกัน นพ.สัญชัย ปิยะพงษ์กุลนายแพทย์สาธารณสุข จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ขณะนี้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มีคำสั่งย้าย นพ.พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผอ.รพ.ศูนย์อุดรธานี ไปช่วยราชการกระทรวงสาธารณสุข แล้ว ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา ส่วนผู้ที่จะมารักษาการราชการแทนตามระเบียบและขั้นตอนจะต้องให้รองผอ.รพ.คนที่ 1 รับการแต่งตั้ง ส่วนการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข
          นพ.สัญชัยกล่าวต่อว่า สำหรับนายสมชาย แซ่โค้ว เภสัชกรชำนาญการ ที่ถูกออกหมายจับในข้อหายักยอกทรัพย์ขณะนี้ทางคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน จ.อุดรธานี มีมติพิจารณาความผิดให้ไล่ออกจากราชการ เพราะขาดราชการติดต่อกันเกินเวลาที่กำหนด ซึ่งจะมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไปส่วนยาสูตรซูโดอีเฟดรีน ที่มีปัญหาได้สั่งให้เก็บรักษาไว้ที่ รพ.ชุมชนทุกแห่ง และมีการแต่งตั้งผู้รับผิดชอบดูแลอย่างเข้มงวด
          อีกด้านหนึ่ง ดร.นพดล กรรณิกาผอ.สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ นำเสนอผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง"ประชาชนคิดอย่างไรกับการหายไปของซูโดอีเฟดรีนกับการกลับมาของยาเสพติด"โดยศึกษาจากประชาชนในพื้นที่ 17 จังหวัด48,354,601 คน ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม -18 เมษายน 2555 พบว่าร้อยละ 75.8 คิดว่าการหายไปของยาซูโดอีเฟดรีนเกี่ยวข้องกับการผลิตยาเสพติด ขณะที่ร้อยละ 24.2 คิดว่า ไม่เกี่ยวข้องกัน อย่างไรก็ดี เมื่อถามถึงการพบเห็น การรับรู้การแถลงข่าวจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดผ่านสื่อมวลชน พบว่าร้อยละ 82.6 เคยพบเห็น รับรู้การแถลงข่าวจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดผ่านสื่อมวลชน
          ส่วนคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์หน้าบ้านหรือชุมชนมีแหล่งมั่วสุมเสพยาเสพติดซื้อขาย หรือส่งยาเสพติดอยู่หรือไม่ พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 65.7 ระบุว่ายังมีอยู่ โดยเป็นกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ขณะที่ร้อยละ34.3 ระบุว่าไม่มีแล้ว เมื่อถามถึงความพอใจต่อการแก้ปัญหายาเสพติดของรัฐบาลชุดปัจจุบัน พบว่าร้อยละ 64.9 ระบุว่าพอใจค่อนข้างน้อยไปจนถึงรัฐบาลต้องปรับปรุงแก้ไข ในขณะที่ร้อยละ 35.1 พอใจค่อนข้างมากถึงพอใจมาก
          สำหรับผลการประมาณการทางสถิติพบว่า มีคนเคยใช้ยาเสพติดที่ไม่นับรวมเหล้าและบุหรี่ สูงถึง 3.7 ล้านคน โดย2.9 ล้านคน เป็นคนที่ใช้ยาเสพติดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา โดยพื้นที่ภาคอีสานมีจำนวนคนใช้ยาเสพติดมากที่สุดกว่า 1 ล้านคน รองลงมาคือ ภาคกลาง จำนวนกว่า 7 แสนคน ภาคเหนือ กว่า 5 แสนคน ภาคใต้ กว่า 3 แสนคนและ กทม.กว่า 2 แสนคน ยิ่งไปกว่านั้นจากการสำรวจพบว่ากลุ่มเด็กและเยาวชนอายุไม่เกิน 24 ปี มีจำนวนคนใช้ยาเสพติดไม่นับรวมเหล้าและบุหรี่ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมามากถึง 993,986 คน และคนในช่วงเริ่มทำงานถึงระยะกลางคืออายุระหว่าง 25-44 ปี มีผู้ใช้ยาเสพติดสูงถึง 1.9 ล้านคน
          ต่อคำถามถึงการประเมินผลการแก้ปัญหายาเสพติด ระหว่างรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับยุครัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร้อยละ 41.3 ระบุว่ายุค พ.ต.ท.ทักษิณ แก้ปัญหายาเสพติดได้ดีกว่า ขณะที่ร้อยละ 32.9 ระบุว่ารัฐบาลปัจจุบันแก้ปัญหาได้ดีกว่า และร้อยละ 25.8 ไม่มีความเห็น


pageview  1204937    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved