รายงานข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึง การเจ็บป่วยของพระสงฆ์ที่มารักษาตัวที่โรงพยาบาลสงฆ์ พบว่า ในปี 2556 มีพระสงฆ์มารับการตรวจรักษา 71,037 ราย ป่วยด้วยโรคเบาหวาน 5,090 ราย คิดเป็นร้อยละ 7.17 โรคความดันโลหิตสูง 5,472 ราย คิดเป็นร้อยละ 7.70 ภาวะไขมัน ในเลือดสูง 7,315 ราย คิดเป็นร้อยละ 10.30 และจากการตรวจร่างกายพระสงฆ์ที่จังหวัดสุโขทัย เมื่อช่วงวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา พบว่า พระภิกษุสงฆ์ที่มารับการตรวจร่างกาย มากกว่าครึ่งเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โดยมีปัจจัยเสี่ยงหลัก ที่พบ คือ อ้วน และอ้วนลงพุง โดยวัดค่า ดัชนีมวลกาย (BMI = Body Mass Index) และรอบเอวเกินมาตรฐาน (ปกติดัชนีมวลกายไม่เกิน 23 กิโลกรัม/ตารางเมตร และชายควรมีรอบเอวไม่เกิน 90 เซนติเมตร) ซึ่งภาวะอ้วนและอ้วนลงพุง นอกจากจะเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดตามมาด้วย
          จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่า การเจ็บป่วยของพระมีสาเหตุมาจากการบริโภคอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ เนื่องจากพระไม่สามารถเลือกฉันอาหารเองได้ ท่านต้องฉันอาหารที่ญาติโยมนำมาถวาย ประกอบกับพระภิกษุสงฆ์ ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรค ไม่ติดต่อ เช่น โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน เป็นต้น กระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดร่วมกันดูแลสุขภาพพระสงฆ์ ให้ปลอดภัยจากโรคไม่ติดต่อ
          ด้าน ดร.นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การตักบาตรพระสงฆ์ในปัจจุบันควรตักบาตรด้วยอาหารที่ป้องกันโรค ไม่ติดต่อ หรือสอดคล้องกับความเจ็บป่วยของพระ ได้แก่ อาหารที่ลด หวาน มัน เค็ม งดอาหารหมัก ดอง ควรถวายอาหารที่มีกากใยสูง ไขมันต่ำ เช่น ข้าวกล้อง ผักและผลไม้สด(รสไม่หวาน) ปลาจะมีไขมันต่ำกว่าเนื้อสัตว์อื่นๆ หรือถ้าเป็นเนื้อสัตว์ก็ไม่ควรให้ติดมันหรือหนัง การปรุงอาหารประเภทผัด หรือมีกะทิเป็นส่วนผสมต้องใช้น้ำมันน้อย กะทิน้อย และควรมีผัก/ผลไม้สดเป็นอาหารสำคัญในการใส่บาตรทุกครั้ง รวมทั้งงดการถวายบุหรี่แก่พระภิกษุ