HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
ไทยโพสต์ [ วันที่ 07/01/2557 ]
ปีใหม่นี้ อย่าตามใจปาก เป็นเหตุให้อ้วน
 เข้าสู่ปีใหม่แบบนี้ต้องฉลอง!! แต่ทว่าสิ่งที่แฝงมากับความรื่นเริงในแต่ละมื้อละครานั้นไม่น่าฉลองหรือยินดีสักนิด เพราะถ้าลืมตัวทานแบบไม่ยั้งนั้นผลที่ตามมาคืออาการเผละของรูปร่างในทันทีทันใด ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ช่วงเทศกาลฉลองจึงต้องขอความรู้กับคุณหมอรูปหล่อ นพ.ธนสิทธิ์ วัฒนสุชาติ หรือหมอหนุ่ย แพทย์ผู้เชี่ยวด้านรูปร่างและผิวพรรณ ออเธนทิค คลินิก
          วิธีสังเกตอย่างไรเข้าข่าย 'อ้วน' "ตามหลักแล้วเราจะประเมินภาวะอ้วนโดยใช้ดัชนีมวลกายเป็นตัวชี้วัด (BMI) ซึ่งคำนวณได้จากการนำเอาน้ำหนักตัวต่อส่วนสูงยกกำลังสอง มีหน่วยเป็นกิโลกรัมต่อตารางเมตร ซึ่งค่ามาตรฐานของคนไทยจะอยู่ที่ 18-23.0 Kg/m ยกกำลังสอง หากมีค่าเกินกว่านี้ควรระวังและควบคุมน้ำหนักตัวของตนเองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หรือจะสังเกตตามหลักสรีระ คือ พุง 3 ชั้น เป็นลักษณะอาการของคนมีพุงแล้วเวลานั่งพุงลงมากองเป็นชั้นๆ แต่จริงๆ สามารถแบ่งได้ดังนี้ ชั้นที่ 1 ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous fat) เป็นชั้นที่เราสามารถจับหรือบีบติดมือเราขึ้นมาได้ ชั้นนี้จะเป็นพลังงานสำรองให้กับร่างกายยามขาดแคลนอาหาร เป็นไขมันที่ไม่ปล่อยสารก่อการอักเสบเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งสามารถลดได้จากการควบคุมอาหารให้เหมาะสม ชั้นที่ 2 กล้ามเนื้อหน้าท้อง ชั้นนี้สำหรับผู้ที่น้ำหนักไม่เกิน ผอม หรือผู้ที่พอได้กินท้องป่องออกมา สาเหตุเกิดจากความไม่แข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ต้องพยุงอวัยวะภายใน กล้ามเนื้อหน้าท้องก็เหมือนสเตย์ที่ใช้รัดหน้าท้องตามธรรมชาติ ถ้าไม่แข็งแรง พอมีของกินเข้าไปก็ไม่มีแรงจะพยุงให้อยู่ทรง วิธีแก้ไขก็จำเป็นต้องออกกำลังกาย โดยจะมีบางท่าที่จะช่วยเน้นได้โดยเฉพาะ ชั้นที่ 3 เป็นไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) เป็นไขมันอันตรายที่สะสมอยู่ในช่องท้อง เป็นไขมันที่เกิดจากการที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย เป็นไขมันที่จะปล่อยสารก่อการอักเสบเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดการอักเสบที่ผนังหลอดเลือดทั่วร่างกาย และอยู่ติดอวัยวะภายในจึงเหมือนกับอวัยวะภายในเราถูกแช่อิ่มด้วยไขมัน แม้จะคุมอาหารอย่างไรไขมันส่วนนี้กลับลดยากจริงๆ จำเป็นต้องมีการออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย จุดนี้เพิ่มเติมว่า รู้หรือไม่ว่าถ้าลดน้ำหนักลงได้เพียงแค่ 5-10% ของน้ำหนักตัว สามารถลดความเสี่ยงที่เป็นโรคมะเร็ง 37% ลดความเสี่ยงที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ 9% ลดความเสี่ยงที่เป็นไขมันในช่องท้องได้ 30% ลดความเสี่ยงอัตราการเสียชีวิตลงได้ถึง 44%
          วิธีการลดน้ำหนักที่ดีคือ การออกกำลังกาย ใช้พลังงานให้สมดุลกับสิ่งที่ทานเข้าไป ในช่วงนี้แน่นอนว่าเอาเข้าเยอะกว่าเอาออกแน่นอน จึงให้เป็นหลักว่า 1.หลีกเลี่ยงการทานอาหารประเภททอด จะเห็นว่าในประเทศไทยนั้นอาหารทอดมีอยู่มากมายและเป็นเมนูยอดนิยมด้วย ทั้ง ลูกชิ้นทอด ไก่ทอด เต้าหู้ทอด ปาท่องโก๋ กล้วยแขก ในน้ำมันที่ใช้ทอดนั้นมีไขมันอิ่มตัวสูงและไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพ หากได้รับในปริมาณมากอาจทำให้น้ำหนักและไขมันส่วนเกินเพิ่มมากขึ้น มีภาวะการทำงานของตับที่ผิดปกติ มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด 2.ออกกำลังกาย ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นโรงยิมหรือฟิตเนสเท่านั้น อยู่ที่ออฟฟิศหรืออยู่กับบ้านก็สามารถออกกำลังกายแบบง่ายๆ ได้ เช่น การขึ้นลงบันได การเดินแทนการขับรถ ยืดเส้นยืดสายจากดัมเบลล์ 3.พักผ่อนให้เพียงพอ อย่านอนดึกเพราะจะทำให้อ้วนง่าย นอกจากนั้นผิวยังเสียเร็วอีกด้วย เนื่องจากการนอนหลับพักผ่อนของเรานั้นส่งผลกับฮอร์โมนที่ควบคุมความรู้สึกอยากอาหาร 2 ตัว ตัวหนึ่งคือ เกรลิน (Ghrelin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นความหิว และอีกตัวคือ เลปติน ฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกอิ่ม และเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันสะสม สำหรับคนที่นอนประมาณ 5 ชั่วโมงต่อวันจะมีระดับฮอร์โมนเกรลินสูงกว่าคนที่นอน 8 ชั่วโมงต่อวันมากถึง 15% และมีเลปตินต่ำกว่าประมาณ 15% ส่งผลให้คนที่นอนน้อยมักจะหิวบ่อย กินเยอะ และก็อ้วนได้ง่ายกว่านั่นเอง แถมยังมีโอกาสเป็นโรคอ้วนมากกว่าถึงร้อยละ 73 และเสี่ยงเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคไตและโรคอื่นๆ อีกมากมาย อยากหุ่นดีต้องหันมาพักผ่อนร่างกายให้มากขึ้นอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง และนอนก่อน 4 ทุ่มเพื่อเปิดโอกาสให้โกรทฮอร์โมนได้ออกมาฟื้นฟูซ่อมแซมร่างกายได้เต็มที่.

pageview  1205831    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved