ภาวะแพ้อาหารแฝง หรือ Food Intolerance จะแตกต่างกับอาการแพ้อาหารฉับพลัน (Food Allergy) ตรงที่จะไม่เกิดขึ้นในทันที แต่จะมีอาการหลังจากรับประทานอาหารไปแล้ว 2-3 วัน โดยอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัว อ่อนเพลียเรื้อรัง ท้องเสียเรื้อรัง ปวดเมื่อย สมาธิสั้น เป็นสิว ไมเกรน ฯลฯ อันจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวกลายเป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน กระดูกพรุน โลหิตจาง ไทรอยด์เป็นพิษ หลอดเลือดหัวใจ มะเร็งลำไส้ และกระเพาะอาหาร เป็นต้น
ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ (Vitallife Wellness Center) ในเครือโรงพยาบาลบำรุง ราษฎร์ ระบุว่า ภาวะแพ้อาหารแฝงดังกล่าวถือเป็นภาวะที่น่ากังวล เพราะปัจจุบันทั่วโลกผู้มีอาการภาวะแพ้อาหารแฝงนั้นมีอยู่ 2 ถึงมากกว่า 20%* ในขณะที่ผู้ที่มีอาการแพ้อาหารฉับพลันมีเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น
ชนิดของอาหารที่ทำให้เกิดภาวะแพ้อาหารแฝงที่พบบ่อย ได้แก่ แล็กโทสในนม กลูเทนในข้าวสาลี สารปรุงแต่งอาหารต่างๆ เช่น ผงชูรส สารกันบูด ฯลฯ ในบางรายอาจเกิดอาการหน้าแดงเมื่อดื่มไวน์แดง หรือแม้แต่ช็อกโกแลตและเนยแข็งก็สามารถกระตุ้นอาการปวดหัวและไมเกรนในบางคนได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ผู้ป่วยจะหยุดรับประทานอาหารชนิดใดๆ เนื่องจากภาวะแพ้ ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแนะนำวิธีปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารทดแทนที่เหมาะสม สร้างความสมดุลของร่างกาย เนื่องจากการหยุดรับประทานอาหารชนิดนั้นๆ อาจมีผลทำให้ร่างกายขาดแร่ธาตุและวิตามินที่สำคัญได้
สำหรับผู้สนใจตรวจวัดปริมาณของภูมิต้านทานที่ก่อให้เกิดภาวะการแพ้อาหารแฝง (Food Intolerance) นั้นสามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ สุขุมวิทซอย 3 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.