รู้สึกตื่นเต้นและดีใจไม่ใช่น้อย ที่เห็นคนไทยหันมานิยมดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะทุกวันนี้ เวลาท่องเที่ยวสอดส่องในโลกโซเชียล ก็แอบเห็นเพื่อนๆ ใกล้ตัวหลายคนต่างแชร์กิจกรรมออกกำลังกายกันอย่างออกหน้าออกตา มีทั้งวิ่ง, ตีแบดมินตัน, เตะฟุตบอล, ขี่จักรยาน, ฟิตเนส, โยคะ โอ้ยเยอะแยะมากมาย ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ต้องขอบคุณ "สื่อโซเชียล" ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการแบ่งปันกิจกรรมดีๆ ไปยังวงกว้าง โดยส่วนตัวมอง ว่านี่คือการส่งพลังบวกรูปแบบหนึ่ง เพราะมันช่วยสร้างแรงบันดาล ใจให้กับหลายคนที่ยังไม่ได้เริ่มดูแลสุขภาพ ให้เริ่มหันมาสนใจตัวเองมากขึ้น
สำหรับผู้เขียนเองก็เพิ่งเข้าสู่ยุทธจักรของวงการ "เดิน-วิ่ง" มาเมื่อไม่นานนี้ หลังจากถูกบรรดาเพื่อนๆ พยายามลากแบบถูลู่ถูกังมานาน แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเพียงนักวิ่งข้างกำแพง แต่ชีวิตก็เริ่มมีเป้าหมายกับการวิ่งมากขึ้นแล้ว หลังจากได้เข้าร่วมกิจกรรมเดินวิ่งมา 2 รายการ พบว่าในโลกของนักวิ่งนี้ไม่ใช่แค่คนเฉพาะกลุ่มแล้ว แต่เป็นงานระดับยักษ์แล้ว
อย่างงานล่าสุด กรุงเทพมาราธอน พบว่า จำนวนนักวิ่ง เข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มขึ้นทุกปี ปีนี้คำนวณจากสายตาน่าจะหลายหมื่นคน เห็นทิวแถวคนจำนวนมากวิ่งจากจุดปล่อยตัวจากหน้ากระทรวงกลาโหม ยาวไปถึงหน้าห้างฯ พาต้าแบบเต็มถนน...สุดลูกหูลูกตา บอกเลยครับว่า "ขนลุก" และ "ฮึกเหิม" สุดๆ
ถ้าดูจากจำนวนนักวิ่งที่เข้าร่วมกิจกรรมขนาดนี้ ผู้เขียนมองว่ากระแสการออกกำลังกายในประเทศไทยเริ่มจุดติด...แล้ว เหมือนถ่านที่ "ไฟกำลังคุ" เหลือแค่กระแสลมอีกหน่อยที่จะช่วยพัดโบกให้ไฟมันติดลุกโชน ผมว่า ณ จุดนี้ ภาคราชการก็ดี เอกชนก็ดี ควรหันมาทุ่มเทงบประมาณในเรื่องการจัดกิจกรรมออกกำลังกายให้มากขึ้น เพราะเท่าที่สัมผัสแบบวงในแล้ว พบว่าคนกระหายที่จะเข้าร่วมกิจกรรมมาก เพียงแต่อีเวนต์ที่โดนใจมีให้ร่วมน้อยเท่านั้น
เดิมทีภาครัฐอย่างกระทรวงสาธารณสุข จะพยายามรณ รงค์ให้ประชาชนหันมาดูแลสุขภาพ โดยใช้การประชาสัมพันธ์ผ่าน สื่อเป็นหลัก แต่ส่วนตัวมองว่าจุดนี้ภาครัฐควร "คิดใหม่ ทำใหม่" ได้แล้วครับ งบประมาณที่เคยเอามาที่ใช้ทำสื่อ ปรับงบหันมาลุยสร้างกิจกรรมให้มากขึ้นจะดีกว่า
ส่วนเรื่องการโปรโมตไม่ต้องห่วง เพราะปัจจุบันสื่อโซเชียล ทั้ง facebook, twitter และ Youtube มีความสามารถเพียงพอ ที่จะส่งสร้างกิจกรรมต่างๆ ไปให้คนส่วนใหญ่ได้รับรู้อยู่แล้ว
อันที่จริงการที่ช่วยให้ประชาชนรักษาสุขภาพนี้ ในอีกด้านหนึ่งสามารถช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศให้เติบโตเพิ่มขึ้น แบบยั่งยืนได้ด้วย
ประเมินดู ถ้าคนในประเทศแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย การผลิตต่างๆ ก็จะดีขึ้นและมากขึ้น เรียกว่าขีดความสามารถในการแข่งขันในทุกๆ ด้านน่าจะดีขึ้น และที่สำคัญรัฐบาลจะประหยัดงบประมาณในการอุดหนุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือในส่วนราชการเอง ก็จะประหยัดงบค่าใช้จ่ายพยาบาลลงไปได้อีกโขเลยทีเดียว
หากดูข้อมูลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พบว่า ปัจจุบันค่าใช้จ่ายด้านบริการสุขภาพของคนไทยนั้นสูงถึง 5 แสนล้านบาทต่อปี ถ้าเป็นระบบเหมาจ่าย 3 พันบาทต่อคนต่อปี และถ้ารวมเป็นระบบที่รัฐบาลจ่ายทั้งหมดประมาณ 7-8 พันล้านบาทต่อปี หรือเกือบ 5% ของจีดีพี เม็ดเงินจำนวนมหาศาลดังกล่าวจะสามารถประหยัดไปได้แค่ไหน ถ้าคนไทยหันมาออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพตัวเอง และกินอาหารที่มีประโยชน์
ถ้าทุกคนสามารถประหยัดงบ ค่ารักษาพยาบาลไปได้ แต่ ละครอบครัวก็จะต้องมีเงินเก็บที่เยอะขึ้น และเมื่อมีเงินเก็บ ก็มีกำลังซื้อ และเงินเหล่านี้ก็จะถูกใช้จ่ายไปยังการบริโภคและการท่องเที่ยว ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาล นี้มองในมิติของ เศรษฐกิจภาพใหญ่
แต่ถ้าดูในสเกลเล็ก ระดับครอบครัวหรือบุคคล ถ้าคนในครอบครัวมีสุขภาพกายที่ดี สุขภาพจิตที่ดี ชีวิตก็มีความสุข และจะช่วยให้เกิดพลังแห่งการต่อสู้ และเกิดไอเดียสร้างสรรค์ ซึ่งจะสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองและประเทศชาติอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
ที่ผู้เขียนร่ายยาวมาถึงบรรทัดนี้ ก็เพียงอย่างเดียว คือ อยากจะเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านหันมาเริ่มต้นออกกำลังกายกันเถอะครับ แล้วจะรู้ว่าการออกกำลังกายมันเปลี่ยนชีวิตเราได้จริงๆ อย่ามัวแต่ผลัดผ่อนต่อไปอีกเลย การได้เริ่มต้นออกกำลังกาย การร่วมกิจกรรมต่างๆ เราจะพบสังคมใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ บางครั้งมันอาจจะช่วยให้ชีวิตของเราพุ่งไปข้างหน้าได้อีกมากเลยทีเดียว
มาออกกำลังกันเถอะ...