HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
ไทยโพสต์ [ วันที่ 29/07/2556 ]
'วายร้าย ไวรัสตับอักเสบ'

   ไวรัสตับอักเสบคืออะไร
          ไวรัสตับอักเสบคือ ไวรัสที่ทำให้เกิดอันตรายต่อเนื้อตับเป็นหลัก ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี ซึ่งในประเทศไทยจากการสำรวจในประชาชนทั่วไป พบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีประมาณร้อยละ 5 และติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีประมาณร้อยละ 1 โดยการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบในระยะแรกผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการ หรือบางรายอาจมีเพียงอ่อนเพลีย ไข้ต่ำๆ คล้ายเป็นไข้หวัด แต่หากเกิดตับอักเสบรุนแรงจะทำให้เกิดดีซ่าน ตรวจพบผิวหนังและเปลือกตามีสีเหลือง ผู้ติดเชื้อไวรัสที่มีภูมิต้านทานแข็งแรง สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้เองตามธรรมชาติ และการอักเสบของตับจะกลับมาสู่ภาวะปกติ เกิดภูมิคุ้มกันโรคต่อไวรัสตับอักเสบไปตลอดชีวิต แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอย่างเรื้อรัง และอาจทำให้เกิดตับอักเสบต่อเนื่องจนเกิดภาวะตับแข็ง ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมาพบแพทย์ด้วยอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง หรืออาการของสมรรถภาพการทำงานของตับเสื่อมลงที่เรียกว่า ภาวะตับวาย ได้แก่ ท้องมาน ขาบวม อาเจียนเป็นเลือดสด หรือปวดท้องบริเวณชายโครงขวาจากมะเร็งตับที่เกิดแทรกซ้อนตามมา ดังนั้นเราสามารถกล่าวได้ว่าไวรัสตับอักเสบ โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบบีหรือซี เป็น "วายร้าย" ที่ก่อให้เกิดโรค ทำให้ผู้ป่วยมีภาวะทุพพลภาพ เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อตับ และเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร เป็นปัญหาสำคัญในหลายประเทศรวมทั้งในประเทศไทย จึงเป็นที่มาให้องค์การอนามัยโรค ได้ประกาศให้วันที่ 28 กรกฎาคมของทุกปี เป็น "วันรักษ์ตับโลก" หรือ "World Hepatitis Day" เพื่อให้ประชาชนทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของโรคตับอักเสบชนิดต่างๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุขทั่วโลกจะรู้ได้อย่างไรว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
          แพทย์จะทำการตรวจเลือดเพื่อค้นหาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบในร่างกาย โดยการตรวจวัดโปรตีนหรือสารพันธุกรรมของไวรัสชนิดต่างๆ เช่น HBsAg, HBV DNA, และ HCV RNA เป็นต้น หรือตรวจหาหลักฐานการติดเชื้อในร่างกาย โดยตรวจหาการตอบสนองของร่างกายด้วยการวัดแอนติบอดี (antibody) ต่อการติดเชื้อไวรัส เช่น anti-HAV, anti-HBc, anti-HCV และ anti-HEV เป็นต้น ผู้ที่ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบในร่างกาย ควรได้รับการตรวจเลือดแสดงการทำงานของตับ ที่เรียกว่า liver function test เพื่อประเมินว่าการติดเชื้อไวรัสก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายเซลล์ตับรุนแรงอย่างไร โดยการตรวจวัดระดับเอ็มไซม์ในเลือดที่เรียกว่า SGOT (AST) และ SGPT (ALT) นอกจากนี้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีเรื้อรัง ควรได้รับการตรวจภาพเนื้อตับด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ (ultrasound) เพื่อประเมินว่าการติดเชื้อไวรัสดังกล่าวก่อให้เกิดตับแข็ง หรือมีมะเร็งตับเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ ก่อนที่ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวมีวิธีการรักษาไวรัสตับอักเสบอย่างไร
          ผู้ป่วยที่เกิดภาวะตับอักเสบฉับพลันจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบดังกล่าว ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ แต่ถ้ามีท้องอืด คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ย่อยยาก เช่น เนื้อสัตว์และอาหารมันๆ เพราะจะทำให้มีอาการมากขึ้น ผู้ป่วยทุกรายควรพักผ่อนเพื่อบรรเทาอาการอ่อนเพลีย และงดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น รวมทั้งอาหารเสริมหรือสมุนไพรชนิดต่างๆ ซึ่งในภาวะตับอักเสบฉับพลัน ภูมิต้านทานของร่างกายเป็นกลไกที่สำคัญในการกำจัดเชื้อไวรัส เพื่อทำให้ภาวะตับอักเสบดีขึ้น
          ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีเรื้อรัง ควรได้รับการตรวจประเมินความรุนแรงของโรคและโรคร่วมชนิดอื่นๆ ก่อนพิจารณาให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัส ซึ่งในปัจจุบันมีทั้งชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนัง หรือร่วมกับการรับประทานยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีประสิทธิภาพดีและปลอดภัย สามารถกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือควบคุมให้ภาวะตับอักเสบสงบลงได้ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับในอนาคตจะป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบได้อย่างไร
          ไวรัสตับอักเสบเอและอี ติดต่อโดยการรับประทานอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส ซึ่งอาจพบในชุมชนที่แหล่งน้ำมีการปนเปื้อนกับอุจจาระของผู้ป่วยโรคดังกล่าว ดังนั้นการป้องกันที่ดีคือ การให้ความรู้และปรับปรุงสาธารณสุขมูลฐานเกี่ยวกับการขับถ่ายอุจจาระ และการดูแลแหล่งน้ำให้ปลอดจากการปนเปื้อนเชื้อไวรัสดังกล่าว ซึ่งมักเกิดปัญหาภายหลังที่เกิดอุทกภัย นอกจากนี้การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ โดยฉีด 2 ครั้งห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน สามารถช่วยลดอุบัติการณ์การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอได้ดีใน ประชาชนทุกเพศทุกวัยไวรัสตับอักเสบบี ซี และดี ติดต่อจากการสัมผัสเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสเข้าสู่บาดแผลทางผิวหนัง หรือเยื่อเมือกของร่างกายโดยตรง จากการใช้ของมีคม เข็มฉีดสารเสพติด อุปกรณ์เจาะหูหรือสักผิวหนังร่วมกัน รวมทั้งยังอาจติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในผู้ที่มีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ แต่มีความเสี่ยงต่ำต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีในคู่ชีวิตที่มีพฤติกรรมทางเพศปกติ สำหรับวิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในบุคคลที่ตรวจไม่พบภูมิต้านทาน สามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีต่อเนื่องในช่วงเวลา 6 เดือน จำนวน 3 ครั้ง ในอดีตไวรัสตับอักเสบบีมักพบการติดต่อจากเลือดของมารดาที่เป็นพาหะสู่ทารกระหว่างคลอด แต่ปัจจุบันพบปัญหาดังกล่าวน้อยลงอย่างมากๆ เนื่องจากมีการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีให้แก่ทารกแรกเกิดทุกราย
          สิ่งสำคัญที่อยากจะบอกให้ผู้ที่ใช้ชีวิตร่วมกันกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดต่างๆ ได้สบายใจว่า เชื้อไวรัสตับอักเสบ ไม่ติดต่อจากการสัมผัสร่างกาย หรือลมหายใจ รวมทั้งการรับประทานอาหารร่วมกัน ดังนั้นทุกคนสามารถใช้ชีวิตร่วมกันตามปกติการรับประทานวิตามิน สมุนไพรและอาหารเสริม จะมีคุณโทษอย่างไร
          ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบไม่ค่อยมีปัญหาขาดสารอาหารหรือวิตามิน ยกเว้นในผู้ป่วยตับแข็งบางรายที่มีภาวะทุโภชนาการ อาจต้องรับประทานวิตามินเสริม และสารอาหารบางอย่างเพื่อแก้ไขภาวะดังกล่าว การรับประทานสมุนไพรและสารต่างๆ เพื่อหวังผลล้างพิษตับที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันว่าจะช่วยให้ผู้ป่วยโรคตับกลุ่มนี้ได้ประโยชน์อย่างไร และบางครั้งการใช้สารเหล่านี้ในผู้ป่วยที่มีปัญหาตับอักเสบอยู่แล้ว อาจทำให้เกิดการอักเสบภายในตับรุนแรงขึ้น การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงโดยการรับประทานอาหารที่สะอาดถูกสุขลักษณะ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็เพียงพอที่จะทำให้สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยแข็งแรงขึ้น ซึ่งน่าจะปลอดภัยกว่าการรับประทานสมุนไพรและสารต่างๆ เหล่านั้น.
          รองศาสตราจารย์นายแพทย์พูลชัย  จรัสเจริญวิทยาภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล


pageview  1205836    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved