เมื่อวานนี้ผมลงจดหมายของท่านผู้อ่านที่บอกว่าจะไปไหว้พระพุทธรูป “ปางห้ามญาติ” ตามวัดต่างๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อขอให้ท่านช่วยห้ามคนไทยซึ่งจะว่าไปก็เหมือนญาติกันทั้งประเทศให้หยุดทะเลาะกันเสียที
ไม่ทราบว่าหลวงพ่อท่านจะช่วยได้หรือไม่...เพราะดูเหมือนว่าสถานการณ์จะหนักขึ้นทุกวันจากข่าวหน้าหนึ่งในช่วงนี้
แต่ก็อย่างที่ผมเคยบอกไว้แหละครับ เราต้องหันเหไปหาเรื่องอื่นๆ บ้าง อย่าหมกมุ่นอยู่กับข่าวม็อบมากนักเดี๋ยวจะเครียดหนักเสียเปล่าๆ
ดังนั้น วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศมาคุยเรื่องของขวัญปีใหม่กันดีกว่า เพราะถ้าจะว่าไปแล้ววันนี้ตรงกับวัน “บ๊อกซิ่งเดย์” (26 ธ.ค.) ตามประเพณีฝรั่งเขาถือเป็นวันแจกของขวัญ และจะมีการแจกในระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย ตลอดจนคนใกล้ชิด คล้ายๆการแจกอั่งเปาของชาวจีน
คำว่า “บ๊อกซิ่ง” ในที่นี้ไม่ได้แปลว่า “ชกมวย” นะครับ มาจาก คำว่า “บ๊อกซ์” ซึ่งแปลว่า “กล่อง” สำหรับบรรจุของขวัญนั่นเอง
คนไทยเราที่เป็นแฟนฟุตบอลอังกฤษจะคุ้นเคยกับวันนี้เป็นอย่างดียิ่ง เพราะเขาจะมีการเตะฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ชนิดเตะครบทุกคู่เป็นประจำทุกปีเพื่อฉลองวันบ๊อกซิ่งเดย์ ซึ่งเป็นวันหยุดกลายๆ ของเขา
นอกจากจะแจกของขวัญและเตะฟุตบอลแล้ว ห้างสรรพสินค้าต่างๆ ในอังกฤษจะลดราคาแหลกลาญ และคนจะไปซื้อของกันแน่นมากในวันนี้
สำหรับบ้านเรานั้น เทศกาลส่งของขวัญไม่ได้เริ่มวันนี้หรอกครับ ความจริงเริ่มมาตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมโน่นแล้ว บรรดาห้างสรรพสินค้าหรือแม้แต่พวกซุปเปอร์มาร์เกตต่างๆ จึงจัดเตรียมของขวัญใส่กระเช้าไว้บริการ บางแห่งตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนด้วยซ้ำ
ที่น่ายินดีก็คือ กระเช้าต่างๆ ที่วางขายในปีนี้เท่าที่ผมเห็นแทบไม่มีกระเช้าเครื่องดองของเมาประเภทเหล้า ไวน์ หรือเบียร์เลย...มีแต่ขนมนมเนยบ้าง ผลไม้บ้าง พวกยาบำรุงกำลังต่างๆบ้าง
ที่เป็นเช่นนี้ทางหนึ่งคงเป็นเพราะกฎหมายกำหนดให้จำหน่ายสุราตามเวลาเท่านั้น จึงไม่สามารถจะใส่กระเช้าตั้งขายได้ตลอด
อีกทางหนึ่งก็คงเป็นเพราะการรณรงค์ของกระทรวงสาธารณสุขที่ให้งดการส่งของขวัญด้วยสุราได้ผลมากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
ถ้อยคำ (ขู่) ขวัญที่โดนใจ และทำให้คนมอบของขวัญไม่กล้าซื้อให้คนอื่นก็เห็นจะเป็นคำขวัญที่ว่า “ให้เหล้าเท่ากับแช่ง” นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราดูสถิติคนเมาเหล้าและสถิติขายเครื่องดองของเมาโดยรวมที่ยังเพิ่มอยู่แสดงว่าการดื่มของคนไทยยังไม่ลดลง
คนไทยอาจจะไม่ซื้อให้กันเป็นของขวัญปีใหม่หรือของขวัญวันเกิด แต่ก็คงจะซื้อเอง ดื่มเอง หรือซื้อไปให้ในโอกาสอื่นเป็นลังๆไปเลยในช่วงที่ไม่ใช่เทศกาลปีใหม่ จึงทำให้ตัวเลขยังคงเพิ่มขึ้น
เป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขที่จะรณรงค์ต่อไปด้วยวิธีการอื่นๆนอกเหนือไปจากวิธีที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้
เมื่อปีกลายผมเขียนเตือนเอาไว้บ้างแล้วว่า การไม่ให้เหล้าเป็นของขวัญปีใหม่นั้นดีแล้ว ชอบแล้ว แต่อย่าหันไปให้ของหวานแทนก็ละกัน
เพราะทุกวันนี้พวกขนมหวาน เช่น เค้กหรือคุ้กกี้หรือแม้แต่ฝอยทอง ทองหยอด ฯลฯ ก็เป็นที่นิยมในการนำมาใส่กระเช้า
เราจะต้องไม่ลืมว่าโรคเบาหวานก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่น่ากลัวและกำลังคุกคามสังคมไทยและคนไทยอย่างหนัก
สถิติคนไทยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่น่ากลัวมากก็คือ เมื่อปี 2544 คนไทยเป็นโรคเบาหวานเฉลี่ย 277 คนต่อแสนคน...แต่ 10 ปีให้หลังคือ พ.ศ.2554 กลายเป็น 849 คนต่อแสน หรือเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว
น่าจะเป็นเพราะคนไทยเราบริโภคขนมหวาน หรือของหวานมากขึ้น แม้แต่เด็กไทยก็เคยมีผลสำรวจว่า อ้วนเกินขนาด
ยิ่งไปตามศูนย์การค้าต่างๆ เราจะเห็นร้านขายขนมหวาน และร้านไอศกรีม ทั้งยี่ห้อดังจากเมืองนอก และยี่ห้อไทยๆ เราเอง โผล่ขึ้นค่อนข้างมาก แถมแต่ละร้านจะมีคนเข้าคิวอุดหนุนแน่นขนัด
ผมก็ขอถือโอกาสเตือนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งแนวโน้มการให้ของขวัญ กำลังเปลี่ยนจาก “เหล้า” ไปเป็นอย่างอื่นๆ ให้ระวังๆไว้บ้าง
โดยเฉพาะการให้ของหวานทั้งหลายจะต้องระวังที่สุด
ให้เหล้าเขายังมีถ้อยคำตักเตือนพิมพ์ไว้ข้างขวดว่า ดื่มแล้วจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้...แต่ของหวานนั้น กระทรวงสาธารณสุขยังไม่เตือน เราจึงต้องเตือนกันเอง
ให้เหล้าเท่ากับแช่ง...ให้ของหวานอาจไม่ถึงกับแช่ง แต่ก็ต้อง ระวังไว้...กินมากๆ เป็นอันตราย...ตายผ่อนส่งได้เหมือนกันนะครับ.