เมื่อหลายปีก่อนโน้น ในช่วงที่เรามีปัญหาขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง ส่งผลให้มีการเดินขบวนประท้วง มีการปราบปรามมีการปะทะถึงขั้นเลือดตกยางออก ไปจนถึงขั้นมีการจุดไฟเผาโน่นเผานี่...นำความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสมาสู่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ที่มีใจเป็นกลางและใฝ่สันตินั้น
ผมจำได้ว่ากระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสถขภาพจิตนี่แหละท่านกรุณาออกข่าวเป็นเชิงให้คำแนะนำแก่ประชาชนถึงวิธีการวางตน หรือการใช้ชีวิตในท่ามกลางความขัดแย้งว่าควรปฏิบัติอย่างไรบ้าง จึงจะสามารถรักษาสุขภาพจิตของเราให้มั่นคงอยู่ได้
ข้อแรกเลยท่านบอกว่า อย่าหมกมุ่นหรือติดตามเหตุการณ์บ้านเมืองมากเกินไปนัก ไม่ว่าจะเป็นข่าวจากทีวีหรือหนังสือพิมพ์ก็ตาม เพราะการหมกมุ่นเกินไปจะทำให้เราเกิดความเคลียด เกิดความกังวลจนเป็นบ่อเกิดของหลายๆโรค ทั้งโรคทางใจและโรคทางกาย ที่อาจจะแทรกซ้อนเข้ามาได้
ท่านจึงเสนอแนะว่าให้พยายามหลบๆข่าวขัดแย้งต่างๆเสียบ้างโดยหันไปติดตามข่าวบันเทิงแทน หรือไม่ก็ดูหนัง ดูละคร หรือฟังเพลงหรือหาหนังสือที่อ่านแล้วมีความสุข มาอ่านสลับฉาก อีกวิธีหนึ่งที่ควรทำก็คือ การออกไปทำบุญใส่บาตร หรือเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม อันจะเป็นผลให้จิตใจของเราสดชื่นแจ่มใส
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์บ้านเมืองเป็นเรื่องสำคัญเราคงจะปฏิเสธหรือละทิ้งไปโดยไม่ติดตาม หรือไม่รับรู้เสียเลยคงไม่ถูกต้อง
กรมสุขภาพจิตท่านจึงไม่ห้ามขาดว่าเราไม่ควรฟัง ท่านเพียงแต่บอกว่า ขอให้เราฟังหรือติดตามอย่างมีสติ และใช้ปัญญาใคร่ครวญให้รอบคอบ พร้อมกับอย่าหมกมุ่นจนเกินไปเท่านั้น
ผมจำได้ว่า ผมรีบนำข้อเสนอแนะดังกล่าวนี้มาเขียนเผยแพร่ต่อในทันที และในขณะเดียวกัน ผมก็พยายามจะปฏิบัติตามไปด้วย ด้วยตัวเอง ในช่วงเวลาที่เคลียดมากๆเพราะการประท้วงกำลังจะบานปลายไปสู่การปะทะ ผมก็จะหลบจากโต๊ะข่าวที่ผู้สื่อข่าวของเรารายงานเรื่องโน้นเรื่องนี้เข้ามาอย่างไม่ขาดสายไปสักพักหนึ่ง
หรือถ้ายืนอยู่หน้าจอทีวี ฟังรายงานดุเดือดเลือดพล่านที่โน่นที่นี่ผมจะเปลี่ยนคลื่นไปดูข่าวกีฬาสลับฉากสักครู่หนึ่งแล้วค่อยกลับมาดูใหม่
ผมโชคดีอยู่อย่างที่มีคนส่งหนังสือมาให้อ่านเยอะ มีทั้งหนังสือธรรมะ หนังสือสารคดี หรือนิยายรักหวานจ๋อยต่างๆ...ก็ได้อาศัยหนังสือเหล่านี้มาเปิดอ่านเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศได้พักใหญ่ๆอยู่เสมอ
ทำให้กลับมาติดตามข่าวสารและความวุ่นวายต่างๆได้อย่างมีสติไม่ถึงกับเครียดหรือวิตกกังวลจนเกินไป
ในช่วงนี้ ข่าวใหญ่ของบ้านเรานอกจากข่าวสมเด็จพระสังฆราชฯสิ้นพระชนม์แล้ว อีกข่าวหนึ่งที่เป็นข่าวใหญ่เคียงคู่กันก็คือข่าวร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสอดแทรกเพิ่มเติมเหมาเข่งกำลังจะเข้าสู่สภาฯ
สำหรับข่าวสมเด็จพระสังฆราชฯสิ้นพระชนม์นั้น แม้จะเป็นข่าวที่นำมาซึ่งความโศกเศร้าเสียใจ แต่เมื่อตระหนักถึงหลักแห่งความจริงที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเอาไว้ว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดาของโลก....ความเศร้าความโศกก็ค่อยๆคลายลง
กลายเป็นความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่จะนำความดีงามต่างๆที่สมเด็จพระสังฆราชฯทรงแนะนำสั่งสอนไว้ไปปฏิบัติ...เพื่อให้เป็นมงคลแก่ชีวิตของเราต่อไป
แต่สำหรับข่าวร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับปรับปรุงแก้ไข ซึ่งเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งนั้น ยิ่งอ่านก็ยิ่งร้อนใจ เพราะการชุมนุมประท้วงเริ่มขยายมากขึ้นและมากขึ้นไปจนถึงมีมติออกมาว่า ถ้าร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านสภาฯม็อบใหญ่จะมาเยือนทันที
ก็เห็นจะต้องนำข้อเสนอแนะของกรมสุขภาพจิตในอดีตมาใช้เสียอีกแล้วละครับว่า จะต้องติดตามข่าวสารทั้งหลายอย่างมีสติ อย่างใช้ปัญญาไม่หมกมุ่นจนเกินไป และถ้ามีโอกาสก็พยายามหลบไปหาความบันเทิงต่างๆสามสลับฉากบ้าง
ส่วนการทำบัญสุนทานเข้าวัดเข้าวา หากทำได้ก็ทำเถิด เพราะนอกจากจะเป็นกุศลทางตรงทำให้จิตใจของเรามีความสุข ไม่หวั่นไหวไม่วิตกในเรื่องต่างๆแล้ว ยังอาจจะมีกุศลข้างเคียงไปดลบันดาลให้ใครบางคนยอมถอยกลางซอย อันจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีก็ได้นะครับ.