นพ.นันทศักดิ์ ธรรมานวัตร์ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุ 9.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 14.5 ของประชากร โดยเพิ่มขึ้นปีละ 5 แสนคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว ทำให้ไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในปี 2568 สำหรับการเตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ศึกษาวิจัยร่วมกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของประเทศญี่ปุ่น หรือไจก้า ภายใต้โครงการแอลท็อปเพื่อศึกษาว่าไทยควรจะมีแคร์เมเนเจอร์ (Care manager) สำหรับดูแลผู้สูงอายุในชุมชนหรือไม่โดยเริ่มดำเนินการศึกษาปี 2556 เป็นปีแรก ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี เชียงราย นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี ซึ่งในแต่ละจังหวัดจะเลือกแคร์เมเนอเจอร์ ประมาณ 15 คนสำหรับจ้างมาดูแลผู้สูงอายุที่ติดเตรียงในแต่ละวัน คาดว่าจะใช้เวลาในการศึกษาราว 5 ปี หากระบบนี้ประสบความสำเร็จและเหมาะสม จะขยายผลดำเนินการระบบนี้ในไทย

          นพ.นันทศักดิ์กล่าวอีกว่า สำหรับแคร์เมเนเจอร์ จะทำหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุแต่ละคนว่ามีความจำเป็นต้องได้รับการดูแล บริการในเรื่องใดบ้าง และประสานหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง โดยจะเป็นการดูแลผู้สูงอายุอย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง ซึ่งผู้สูงอายุไม่ต้องเสียเงิน แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนทรัพยากรทั้งคนและงบประมาณ ทั้งที่ผู้ที่จะเป็นแคร์เมเนเจอร์จะเป็นใครก็ได้ที่มีพื้นฐานการดูแลผู้สูงอายุมาก่อน อาจจะเป็น อสม. แต่ต้องเข้ามารับการอบรมก่อนที่จะเข้าไปดูแลผู้สูงอายุสว่นการจัดตั้งเนิร์สซึ่งโฮม หรือบ้านพักในการดูแลผู้สูงอายุ ประเทศไทยมีมากในภาคเอกชน แต่ภาครัฐมีการศึกษาอยู่บางพื้นที่ เช่น รพ.ประสาท จ.เชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งต้นทุนในการจัดตั้งสูงมาก จึงอาจจะจัดตั้งเฉพาะที่จำเป็นเนื่องจากไทยใช้หลักการดูแลผู้สูงอายุคือ อยู่กับบ้านให้มากที่สุด ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลมีแผนกดูแลผู้สูงอายุ ช่วงกลางวันที่ลูกหลานต้องไปทำงาน ก็พาผู้สูงอายุที่ต้องได้รับการดูแล เช่น มีปัญหาทางสมองมาอยู่ที่ดรงพยาบาล ตอนเย็นก็มารับกลับบ้านหรือผู้สูงอายุอยู่กับบ้านแล้วมีเจ้าหน้าที่ไปดูแลที่บ้าน ไม่ต้องมาโรงพยาบาลเป็นต้น.