เนื่องในวันมหิดล 24 กันยายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตขอ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก "องค์พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย" ด้วยสำนึกในพระกรุณาธิคุณและเพื่อเฉลิมพระเกียรติ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จึงจัดกิจกรรมวันมหิดลขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อหารายได้ช่วยผู้ป่วยยากไร้และด้อยโอกาสของโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งปีนี้จัดรายการพิเศษ "เปิดดวงตา ด้วยดวงใจ" ในวันที่ 21 ก.ย.56 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เวลา 22.30-00.20 น.
          ในฐานะองค์ประธานจัดหารายได้ "วันมหิดล" สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้ประทานสัมภาษณ์ในรายการ พิเศษวันมหิดล ประจำปี 2556 ที่ห้องทรงงานอาคารศรีสวรินทรา รพ.ศิริราช เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ที่ผ่านมาว่า ตาเป็นอวัยวะสำคัญที่สุดของคนเรา ถ้าสูญเสียดวงตาไป คุณภาพชีวิตจะแย่มาก จากที่พระองค์เสด็จไปทรงงานมูลนิธิ พอ.สว. พบว่า มีคนไข้โรคตาค่อนข้างมาก ส่วนมากเป็นต้อกระจก ต้อหิน หรือตาติดเชื้อต่างๆ ก็มีบ้าง นอกจากนี้ยังทรงลำดับความสำคัญของการทรงงานที่มีอยู่จำนวนมากว่า พระองค์จะให้ความสำคัญกับงานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมอบหมายเป็นอันดับหนึ่ง งานอื่นจะพิจารณาตามๆ กันมา ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพคนหรือสุขภาพสัตว์ ทรงให้ความสำคัญมากกว่าการทรงดนตรี พร้อมกันนี้ยังรับสั่งถึงงานของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ด้วยว่า โรงพยาบาลจุฬาภรณ์เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางโรคมะเร็ง แต่โรคมะเร็งไม่ได้มาเดี่ยวๆ เสมอไป คนที่เป็นมะเร็งจะเป็นโรคหัวใจ โรคตับ โรคไตบ้าง จึงต้องเพิ่มแพทย์เฉพาะทางอื่นๆ ล่าสุดคงเพิ่มห้องฉุกเฉินด้วย เนื่องจากบริเวณนั้นเกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก มีคนเข้ามาที่โรงพยาบาลซึ่งช่วยเหลือได้เล็กน้อย และนำไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอื่น ตอนนี้จึงคิดว่า ต้องมีห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้นมาอีก
          สมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ ทรงมีพระดำรัสถึงการบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลเนื่องในวันมหิดลด้วยว่า ไม่ใช่คนรวยเท่านั้นที่บริจาคได้ คนฐานะปานกลางก็บริจาคได้ บุญไม่ได้เกิดขึ้นจากจำนวนเงิน แต่เกิดขึ้นจากใจ โรงพยาบาลศิริราชเป็นโรงพยาบาลใหญ่ มีคนไข้เดินทางมาจากต่างจังหวัดจำนวนมากที่เป็นคนไข้อนาถา จะเห็นว่าตี 4 ตี 5 ประชาชนถือเสื่อผืนหมอนใบมานอนรอเพื่อตรวจโรค ที่ทราบเพราะอยู่ศิริราชมาเป็นปีที่ 20 แล้ว ศิริราชเป็นโรงพยาบาลของประชาชน ที่ช่วยเหลือประชาชนที่ยากไร้ไว้มากมาย
          สุดท้ายพระองค์ยังรับสั่งด้วยความเป็นห่วงสุขภาพของประชาชนด้วยว่า ต้องคอยสังเกตตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติไปจากเดิมหรือไม่ คนเราเรื่องกินสำคัญมาก ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ อย่ามากหรือน้อยเกินไป คนกรุงเทพฯ ต้องเผชิญกับมลภาวะการจราจรที่ติดขัด มีมลพิษที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็ง จะช่วยได้ต้องมีระบบขนส่งสาธารณะที่ดี เพื่อไม่เอารถออกมาติดบนท้องถนน การดูแลนอกจากการกินแล้ว ควรมีการพักผ่อนที่เพียงพอ นอนวันละ 8 ชั่วโมง อารมณ์ก็มีส่วนเกี่ยวข้อง คนเราพอมีความเครียดโรคต่างๆ ก็ตามมา บางคนเครียดมาจนปวดหัวอาเจียน ความเครียดแก้ได้โดยการปล่อยวาง บางเรื่องคิดไปไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ให้คิดเลยหรือปล่อยวางเลย เราต้องพิจารณาให้รอบคอบว่า ทำดีที่สุดแล้วได้แค่นี้ แล้วเราต้องปล่อยวาง หากเราเครียดจะนอนไม่หลับ ก็จะไม่ดี