|
|
|
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ [ วันที่ 01/12/2560 ] |
|
|
|
|
หยุด!!!ทะยานสู่แชมป์โลก ไทยตายบนถนนสูง แก้อุบัติเหตุแค่เดินไม่ได้ต้องวิ่ง |
|
|
|
|
เมื่อไม่นานนี้มีแนวโน้มสถิติหนึ่งปรากฏออกมาซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล ข้อมูลดังกล่าวคือกรณีที่ประเทศไทยจ่อรั้งตำแหน่งประเทศที่เกิดอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก แซงหน้าประเทศลิเบีย
เนื่องใน วันโลกรำลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งจัดขึ้นทุกปีในวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือน พ.ย. และในปีนี้ตรงกับวันที่ 19 พ.ย. ที่ผ่านมา นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ออกมาระบุถึงสถานการณ์การเสียชีวิตทางถนนของผู้คนทั่วโลกว่ามีราวปีละ 1,300,000 คน บาดเจ็บและพิการราว 50,000,000 คน ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาวอายุระหว่าง 15-29 ปี เมื่อหันกลับมามองสถานการณ์ในประเทศไทยปัจจุบันมียอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนโดยเฉลี่ยปีละกว่า 20,000 คน
โดยปี 2555 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนจำนวน 22,841 คน, ปี 2556 จำนวน 22,438 คน, ปี 2557 จำนวน 21,432 คน, ปี 2558 จำนวน 19,479 คน และปี 2559 จำนวน 22,356 คน คำนวณแล้วจะมีผู้เสียชีวิต วันละ 61 คน ชั่วโมงละ 2.5 คน ส่วนในปีนี้แม้จะยังไม่สรุปยอดแต่เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 มีอุบัติเหตุเสียชีวิตคาที่เพิ่มขึ้น 30-40%
ทั้งนี้ เรียกร้องให้รัฐเร่งดำเนินการใน 5 ข้อเสนอเพื่อยับยั้งสถานการณ์ที่ส่อเลวร้ายลงประกอบด้วย 1. รัฐควรกำหนดให้การลดอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นนโยบายสำคัญ 1 ใน 3 อันดับแรก 2. ต้องดำเนินการให้เป็นรูปธรรมและติดตามผลทุก 3 เดือน 3. ยกระดับการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด 4. ยกระดับความผิดฐานเมาแล้วขับเป็นการขับขี่อันตรายที่เล็งเห็นผลแทนความประมาท และ 5.นำเรื่องความปลอดภัยทางถนนเข้าสู่การเรียนการสอนทุกระดับ
เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ย้ำถึงข้อกังวลที่ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเป็นอันดับหนึ่งของโลกหากยังไม่คิดปฏิรูปเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง นี่คือเรื่องเลวร้ายที่มองไม่เห็น เพราะจะมีเรื่องใดที่ฆ่าคนได้เป็นหมื่นคนเหมือนอุบัติเหตุทางถนน เรื่องนี้ในอนาคตอาจส่งผลกระทบไปถึงภาพลักษณ์การท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักของประเทศ เพราะมีผลต่อการตัดสินใจด้านความปลอดภัยของผู้ที่จะเข้ามาท่องเที่ยว
ย้อนกลับไปดูข้อมูลของ องค์การอนามัยโลก (WHO) เกี่ยวกับรายงานความปลอดภัยทางถนนของโลก (Global Status Report on Road Safety 2013) เมื่อปี 2556 ประเทศไทยติดอันดับ 3 ประเทศที่เกิดอุบัติเหตุบนถนนสูงสุด จากการเปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตของแต่ละประเทศตามหลักการคือจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนต่อประชากรแสนคน ทำให้ประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 38.1 คนต่อประชากรแสนคน ส่วนสองอันดับแรกคือ เกาะนีอูเอ (Niue) มีอัตราผู้เสียชีวิต 68.3 คนต่อประชากรแสนคน และสาธารณรัฐโดมินิกัน มีอัตราผู้เสียชีวิต 41.7 คนต่อจำนวนประชากรแสนคน
ขณะนั้นมีการระบุว่าหากแต่ละประเทศไม่ดำเนินการป้องกัน ภายในปี 2573 การเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุอาจกลายเป็นอันดับ 5 ของสาเหตุการเสียชีวิตของคนทั้งโลก
รายงานความปลอดภัยทางถนนโลกจัดทำทุก ๆ 2 ปี ซึ่งต่อมาในปี 2558 องค์การอนามัยโลกรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนทั่วโลกสูงถึง 1,250,000 คนต่อปี เกือบทั้งหมดคือ 90% อยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางถึงต่ำ ส่วนใหญ่เกิดกับรถจักรยานยนต์ จักรยานและคนเดินถนน ในรายงานฉบับดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตบนถนนเฉลี่ย 36.2 คนต่อประชากรแสนคน หรือสูงเป็นอันดับ 2 เป็นรองเพียงประเทศลิเบียที่มียอดผู้เสียชีวิต 73.4 คน
จากอันดับที่ 3 ก้าวขึ้นอันดับ 2 และจ่อจะรั้งอันดับ 1 กับประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนมากที่สุดในโลก น่าจะส่งสัญญาณหลายอย่างให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะรัฐบาลที่ไม่เพียงให้ความสำคัญกับการป้องกันอุบัติเหตุแค่ช่วงก่อนเทศกาลสำคัญ แต่ต้องทำจริงจังทั้งระบบเพื่อให้ผลชัดเจน
อีกบทบาทสำคัญที่ไทยควรเร่งแก้ไขปัญหาก็เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่วมกับสมาชิกองค์การสหประชาชาติและองค์การอนามัยโลกในการขับเคลื่อน ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน (Decade of Action for Road Safety 2011-2020 ) ตามแผนตั้งแต่ปี 2554-2563 เป้าหมายคือ 1. ลดการเสียชีวิตลงให้ได้ 50% หรือครึ่งหนึ่งจากที่เป็นอยู่ ตาม 5 แนวทางคือ การบริหารจัดการที่เข้มแข็ง 2. การจัดการโครงสร้างพื้นฐานและถนนที่ปลอดภัย 3. การจัดการยานพาหนะที่ปลอดภัย 4. ผู้ใช้รถใช้ถนนปลอดภัย และ 5. ระบบการดูแลรักษาหลังเกิดเหตุ
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) เผยว่า องค์การอนามัยโลกจะมีการตรวจสอบรายงานความปลอดภัยทางถนนโลกทุก 2 ปี และจัดอันดับประเทศซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศของปี 2560 ได้ในปีหน้า เนื่องจากต้องเก็บข้อมูลจากทั่วโลก สำหรับประเทศไทยในปี 2559 กลับมีสถิติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่กว่า 22,356 คน จากเดิมที่เคยลดลงไปอยู่ที่กว่า 19,000 คน ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณได้อย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในอันดับใด แต่การที่มีตัวเลขการเสียชีวิตบนถนนสูงกว่า 20,000 คนต่อปีถือว่าสูงมาก แม้ประเทศลิเบียจะเป็นอันดับหนึ่งแต่เนื่องจากสถานการณ์สงครามในประเทศทำให้ไม่แน่ชัดว่าการเสียชีวิตบนถนนอาจเป็นผลจากสงครามด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ หากมองไปถึงเป้าหมายทศวรรษความปลอดภัยทางถนนซึ่งเหลือเวลาอีก 3 ปี ก็จะครบระยะเวลาตามแผนคือต้องการลดอุบัติเหตุลงครึ่งหนึ่ง จากสภาพปัจจุบันคงไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากตัวเลขการเสียชีวิตยังขยับลดลงไม่เร็วมากนัก อีกทั้งยังมีแนวโน้มกลับขึ้นมาอีก ซึ่งหากจะทำตามมาตรการเท่าที่มีอยู่ก็คงไม่สำเร็จตามกรอบเวลา ดังนั้น จากนี้คือการต้องเร่งความเร็วและปรับทุกอย่าง พร้อมเสนอให้ประกาศสงครามกับอุบัติเหตุเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่มีการเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามปัญหายาเสพติด และปัญหาการค้ามนุษย์ โดยรัฐบาลต้องประกาศเดินหน้าเป็นตัวอย่างให้จริงจังเพื่อกระตุ้นให้หน่วยงานอื่นขับเคลื่อนตาม
"การประกาศสงครามศัพท์นี้ไม่ใช่คำใหม่ เมื่อราว 40 ปีก่อน คือปี ค.ศ. 1970 ประเทศญี่ปุ่นก็เคยมีตัวเลขผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนเพิ่มขึ้นไปราว 16,000 คน ขณะนั้นถือเป็นเรื่องซีเรียสมาก รัฐบาลต้องประกาศสงครามครั้งแรกกับอุบัติเหตุโดยเริ่มต้นที่การเข้มงวดเรื่องการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และทำเรื่องขนส่งสาธารณะให้แข็งแรง หลังประกาศไป 10 ปี ตัวเลขผู้เสียชีวิตลดลง จนมีการประกาศครั้งที่สองไปที่การเพิ่มมาตรการความปลอดภัย ในบ้านเราก็เคยประกาศสงครามกับปัญหามาแล้ว แต่การที่จะประกาศสงครามจำเป็นต้องมีรูปธรรม นายกรัฐมนตรีต้องส่งสัญญาณลงไปและมีมาตรการให้ทุกหน่วยงานดำเนินการเร่งด่วน"ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางถนน ระบุ
ปัญหาอุบัติเหตุที่พบเห็นกันรายวัน มองเพียงผิวเผินอาจเห็นเพียงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ได้เห็นข้อมูลว่าแท้จริงแล้วอุบัติเหตุมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา (ทีดีอาร์ไอ)เคยนำเสนอว่ามีมูลค่าสูงถึง 5 แสนล้านบาทต่อปี สิ่งที่สะท้อนออกมาเริ่มทำให้เห็นผลกระทบในวงกว้าง และเป็นมูลค่าที่น่าเก็บไปคิดถึงประโยชน์ในการหาทางป้องกันอุบัติเหตุที่จริงจังกว่าที่เป็นอยู่
ช่วงใกล้เทศกาลสำคัญอย่างปีใหม่ คงเป็นโอกาสที่ดีอีกครั้งในการ กระตุ้นให้หลายหน่วยงานออกมาตื่นตัว และพร้อมใจกันเดินหน้ามาตรการด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจัง ที่สำคัญคือการเข้มงวดอย่าง ต่อเนื่องทั้งปี. |
| | |
|
| |