เมื่อวันที่ 31 ต.ค. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงแผนการส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรไทยว่า ส่วนทัศนคติโดยรวมของทั้งคนไทย และต่างชาติ ที่หันมาดูแลสุขภาพตัวเองโดยนึกถึงความเป็นธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่า สมุนไพรไทยได้รับความนิยมเหมือนกัน โดยสามารถทำเงินเข้าประเทศไทยได้จำนวนมาก แต่ก็ต้องกระตุ้นให้มีการใช้ที่มากกว่านี้  โดยขับเคลื่อนไปทั้งต้นน้ำ คือ การปลูกสมุนไพร กลางน้ำ คือ การแปรรูป การผลิต และปลายน้ำ คือ การใช้สมุนไพร อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของสมุนไพรนั้นจำเป็นต้องเดินหน้าในส่วนของปลายน้ำก่อน โดยส่งเสริมให้คนที่รู้จักสมุนไพรไทยอย่างแท้จริง และมีความมั่นใจที่จะใช้ เมื่อตรงนี้ชัดเจนแล้วจะทำให้การส่งเสริมการปลูก และการแปรรูปทำได้ง่าย และตรงตามความต้องการมากขึ้น ซึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างสำรวจว่าประชาชนแค่รู้จัก หรือ รู้แจ้งเกี่ยวกับสมุนไพรไทยแค่ไหน อย่างไร
          นพ.เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ภายใน 2 เดือนนี้จะมีการประชุมร่วมกับแพทย์ 3 สาขาในเขต 2 และเขต 9 เพื่อทำความเข้าใจในการใช้สมุนไพรในการรักษาโรค และส่งเสริมการให้ใช้มากขึ้นด้วย คือ 1. แพทย์ออร์โธปิดิกส์ ซึ่งปัจจุบันเริ่มยอมรับสมุนไพรไทย และการแพทย์แผนไทย ว่า สามารถช่วยรักษาโรคกระดูก ปวดข้อกระดูก เส้นเอ็น มากขึ้น 2. สูตินรีแพทย์ ซึ่งจะมียาจำพวกยาอายุวัฒนะ ยาสำหรับหญิงวัยหมดประจำเดือน เพราะสมุนไพรไทยส่วนใหญ่มีแอนตี้อ๊อกซิแดนซ์เป็นสารสำคัญ อาทิ ขมิ้นชัน กระชายดำสำหรับผู้ชาย ตรีผลาในผู้หญิงและคนทั่วไป เป็นต้น และ 3. อายุรแพทย์ สมุนไพรลดความดันแก้ปวด เป็นต้น 
          "วันนี้เราปลูกกันเยอะแยะไปหมด แต่ไม่รู้ว่าใช้อะไร อย่างไร จริง ๆ เราต้องทำเรื่องการใช้ให้ชัดเจน ให้รู้สรรพคุณของสมุนไพรอย่างแท้จริงมีความมั่นใจที่จะใช้ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เมื่อทำตรงนี้สำเร็จก็จะไปกระตุ้นเรื่องการปลูก และการผลิต เพื่อมารองรับความต้องการของตลาดได้ เพราะต้องยอมรับว่าคนไทยอยู่กับสมุนไพรมานาน มีของดี แต่ที่ใช้ไม่มากพอเพราะยังไม่รู้ถึงสรรพคุณที่แท้จริง และยังไม่มั่นใจเรื่องของคุณภาพประสิทธิภาพ เพราะเป็นการออกฤทธิ์ที่ไม่เร็วนัก" นพ.เกียรติภูมิ กล่าว.