HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ [ วันที่ 26/04/2555 ]
ตื่นหลุมไฟ! แก๊สพิษเพียบห้ามใกล้รัศมี500ม.

ชาวสองแควผวาหนัก หลังกรมควบคุมโรคระบุผืนดินร้อนควันพวยพุ่งเป็นแก๊สพิษอันตรายต่อร่างกาย ถ้าสูดดมและสัมผัส แนะให้ออกห่าง 500 เมตร นายอำเภอประกาศเป็นพื้นที่อันตราย หลังจากยังมีกลุ่มควันขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และเกิดเปลวไฟลุกไหม้กระดาษ คาดเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ เพราะเคยมีเอกชนเข้ามาเจาะสำรวจ ไม่ใช่ปล่องภูเขาไฟตามที่วิตกกังวล ทางด้านอดีตข้าราชการบำนาญออกโรงเตือนภัยแก๊สพิษ ลักษณะคล้ายควันสีดำ ผุดขึ้นมาตามรอยแยกของผืนดินที่เกิดแผ่นดินไหวเป็นอันตรายต่อคน
          จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ชาวบ้านโนนตาโพน หมู่ 9 ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก เดินไปตกหลุมทรายที่มีความร้อนสูง กลางทุ่งนาบริเวณโรงเลื่อยเก่าในหมู่บ้าน ถึงขั้นได้รับบาดเจ็บ 2 ราย นอกจากนี้ยังมีควันไฟพุ่งจากพื้นดินออกมา เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีความร้อนสูง สุนัขและแมววิ่งเข้าไปถูกเผาไหม้ตายไปหลายตัวนั้น
          ความคืบหน้า เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 25 เม.ย. นายเกรียงวิชญ์ ไกรพวิมล นายอำเภอนครไทย และนายสกล แก้วพวงคำ ปลัดอำเภออาวุโสอำเภอนครไทย เดินทางเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่หมู่ 9 ต.หนองกะท้าว หลังทราบข่าวจากประชาชนว่าเกิดกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากบริเวณพื้นดิน ซึ่งเป็นเนินดินกว่า 1 ไร่ เมื่อไปถึงพบว่าเจ้าหน้าที่อบต.หนองกะท้าว ได้นำป้ายไม้อัดสีแดง เขียนข้อความว่า "เขตอันตรายห้ามเข้า" มาปักไว้และใช้เชือกขึงเป็นเขตอันตราย เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปในบริเวณดังกล่าว ซึ่งยังมีกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากใต้พื้นผิวดินอย่างต่อเนื่อง โดยลักษณะของพื้นที่เป็นดินทราย เมื่อโยนก้อนหินหรือเศษไม้เข้าไปจะเกิดกลุ่มควันขึ้นมา
          ทั้งนี้ นายเกรียงวิชญ์ ได้ใช้ไม้ทิ่มลงไปบนผิวดินก็มีกลุ่มควันพร้อมกับประกายไฟลุกไหม้ขึ้นมา จากนั้นได้ทดสอบด้วยการใช้กระดาษจี้ลงไปยังพื้นดิน ก็เกิดเปลวไฟลุกไหม้กระดาษทันที นอกจากนี้ยังติดต่อขอรถบรรทุกน้ำจากศูนย์ป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ให้นำรถน้ำมาฉีดเพื่อดับความร้อนบริเวณดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่นำน้ำมาฉีดเข้าไป ก็เกิดกลุ่มควันดำพุ่งออกมาจำนวนมาก จนเจ้าหน้าที่ต้องหยุดฉีดน้ำ เพราะเกรงจะเกิดอันตรายกับประชาชนที่มายืนมุงดูจำนวนมาก โดยชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่าสาเหตุที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพราะใต้ดินเป็นปล่องภูเขาไฟ หรืออาจเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติ
          นายเกรียงวิชญ์ กล่าวว่าถือเป็นเรื่องแปลก โดยทางอำเภอได้ประกาศเตือนให้เป็นพื้นที่อันตราย ห้ามผู้ใดเข้าไปในบริเวณดังกล่าว พร้อมกับได้รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นไปยังจังหวัดแล้ว เพื่อให้ส่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทางด้านธรณีวิทยา มาตรวจสอบหาสาเหตุที่แน่ชัด เพื่อไม่ให้ประชาชนตื่นกลัว แต่เบื้องต้นสันนิษฐานว่า อาจเกิดจากการหมักหมมของเศษซากพืชที่อยู่ในชั้นใต้ดิน ก่อนติดไฟขึ้นมาและระอุอยู่ใต้ดิน หรืออาจเกิดจากก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวอยู่ระหว่างสำรวจหาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โดยก่อนหน้านี้บริษัท ทวินซ่า ออยล์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นผู้ได้รับสัมปทานได้เจาะสำรวจปิโตรเลียม ของแปลงสำรวจบนบก หมายเลข L 7/50 ในพื้นที่ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย ช่วงปี 51-52 ที่ผ่านมา บริษัทเคยสำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือน ประเมินแล้วน่าจะมีก๊าซและน้ำมันดิบเป็นจำนวนมากอยู่ในพื้นที่ อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
          ขณะที่ นายละเอียด ปานเกิด อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 173 หมู่ 10 ต.หนองกะท้าว กล่าวว่า ก่อนหน้าที่จะพบว่าบริเวณพื้นดินดังกล่าวมีความร้อน ได้มีคนงานก่อสร้างที่อยู่ใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ เดินเท้าไปยังบริเวณนี้ และเผลอตกหลุมทรายที่มีความร้อนสูง จนได้รับบาดเจ็บที่เท้าทั้ง 2 ข้าง คือ นายชาตรี บุญฤทธิ์ อายุ 40 ปี นายชาตรีจึงร้องขอความช่วยเหลือ และนายออม จันทร์เขียว อายุ 59 ปี เพื่อนร่วมงานเห็นจึงลงไปช่วย และได้รับบาดเจ็บไปอีกคน โดยทั้งสองคนมีบาดแผลพุพองตามร่างกาย ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวในอดีตเคยเป็นโรงเลื่อยเก่ามีอายุกว่า 50 ปี แต่ปัจจุบันเป็นพื้นที่โล่งเตียน
          ทางด้าน รศ.ดร.กิจการ  พรหมมา อาจารย์ภาควิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะเกษตรศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก กล่าวว่าตนยังไม่ได้ไปดูที่เกิดเหตุ แต่จากที่ติดตามข่าวสาร คาดว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากไฟรั่ว เพราะสภาพผิวดินมีความร้อนจัดจนน้ำที่มีอยู่ในดินระเหยทำให้ดินร่วนซุยได้ง่าย ด้วยความร้อน ถ้าโยนกระดาษเข้าไปทำให้เกิดการลุกไหม้ได้ เพราะเกิดความร้อนสูงมาก ไม่น่าจะมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ของธรรมชาติอย่างอื่นได้
          ส่วนการสันนิษฐานความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง คือ การทำปฏิกิริยาของฟอสฟอรัสขาว ซึ่งฟอสฟอรัสขาวส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ดินที่มีน้ำท่วมขัง และจุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากแม่น้ำแควน้อยไม่มากนัก อาจเป็นไปได้ว่า เมื่อปริมาณแม่น้ำแห้งลง ทำให้ฟอสฟอรัสขาวโผล่พ้นน้ำทำให้เกิดปฏิกิริยากับอากาศ จนทำให้เกิดความร้อนได้ แต่จากรายงานที่เกิดเหตุยังไม่พบฟอสฟอรัสขาวแต่อย่างใด จึงต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ส่วนที่มีกระแสข่าวจากชาวบ้านว่าอาจเกิดจากภูเขาไฟนั้น ขอยืนยันว่าไม่น่าใช่ เนื่องจากการสำรวจพื้นที่ในประเทศไทย ยังไม่พบว่ามีพื้นที่รอยแยกที่จะเกิดภูเขาไฟ และจากการตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวเป็นโรงเลื่อยเก่า จึงสันนิษฐานในเบื้องต้นอาจจะเป็นการสะสมของขี้เลื่อยมาเป็นเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดก๊าซใต้ดิน แต่ถ้าจะให้เกิดไฟลุกถึงขั้นกระดาษลุกไหม้นั้น ความร้อนจากแสงแดดจะต้องอยู่ที่ 200-300 องศาเซลเซียส
          ต่อมาเวลา 14.00 น. นายสมบุญ โฆษิตานนท์ ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรธรณี เขต 1 (ลำปาง) นายประสิทธิ พัฒนยิ่งใหญ่ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพิษณุโลก น.ส.อิสราภรณ์ สุจาโน รักษาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.พิษณุโลก ได้ลงมาตรวจสอบพื้นที่ เพื่อพิสูจน์ทราบว่า บริเวณที่ไฟลุกไหม้ใต้ดินเกิดจากสาเหตุอะไร โดยเจ้าหน้าที่สำนักทรัพยากรธรณีเขต 1 ได้ใช้เหล็กแหลม ขุดเจาะสำรวจบริเวณดังกล่าว 3 จุด ลึกลงไปประมาณ 2 เมตร เพื่อตรวจสอบชั้นใต้ดินว่ามีเชื้อเพลิงอะไรบ้าง โดยขุดเจาะบริเวณที่เกิดไฟลุกไหม้ลงไป 1 จุด เบื้องต้นพบว่ามีชั้นเถ้าถ่าน ที่เป็นเชื้อเพลิงของไฟลุกไหม้หนาประมาณ 1 เมตร อยู่บริเวณผิวดิน ขณะที่ลึกลงไป เป็นชั้นผิวดินเดิมปกติ และอีก 2 จุด ทำการขุดเจาะบริเวณทุ่งนา รอบ ๆ จุดที่ไฟปะทุใต้ดิน เพื่อนำไปเปรียบเทียบ
          นายสมบุญ เปิดเผยว่าได้เจาะชั้นดิน 3 จุด เพื่อนำไปพิสูจน์ สำหรับสถานการณ์เชื่อว่ายังคงลุกไหม้ต่อไปแต่ไม่รุนแรง แค่ต้องกันไม่ให้คนและสัตว์เข้าไปใกล้หรือต้องขุดเปิดหน้าดิน เพื่อให้ไฟเผาไหม้หมด และจะดับไปเอง ในเบื้องต้นคาดว่าพื้นที่บริเวณนี้มีแก๊สมีเทน ไม่มีกลิ่น ติดไฟได้เอง เกิดจากการสะสมของเศษขี้เลื่อยและถ่านเก่า เมื่อเจออากาศร้อนทำให้เกิดปฏิกิริยาลุกเป็นไฟ
          ทางด้าน ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล นักวิชาการหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีการเกิดเปลวไฟใต้พื้นดิน ในพื้นที่ อ.นครไทย ว่า เท่าที่สังเกตจากภาพข่าว ประเมินได้ 2 กรณี คือ เกิดจากน้ำมือมนุษย์ เนื่องจากพื้นที่เดิมเป็นโรงเลื่อยเก่าอาจมีกองขี้เลื่อยทับถมอยู่ อากาศที่ร้อนทำให้เกิดการปะทุได้ และอีกสาเหตุในโรงเลื่อยเคยใช้เชื้อเพลิงที่เป็นถ่านหินเมื่อมีเชื้อเพลิงเป็นขี้เลื่อยจึงเกิดเปลวไฟขึ้นมา
          ส่วนประเด็นทางธรรมชาตินั้น พบว่าบริเวณพื้นที่ อ.นครไทย เชื่อมต่อกับจ.เพชรบูรณ์ เป็นแนวของหินบะซอลล์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพลอย น่าจะเป็นสาเหตุของการเกิดความร้อนได้เช่นกัน จากการเก็บข้อมูลทางธรณีวิทยาในระยะ 10,000 ปี พบว่าแนวหินชนิดนี้สะสมความร้อนมีพลังเช่นกัน แต่ไม่เป็นแบบภูเขาไฟฟูจิในญี่ปุ่น แต่สามารถมีลาวาไหลออกมาได้ แต่อาการไหลเหมือนโคลนมีความหนืดไม่ไหลไปไกล และไม่พุ่งเหมือนกับลาวาภูเขาไฟ ซึ่งข้อมูลจุดนี้จะสรุปได้ต้องลงไปสำรวจทางธรณีวิทยา และประเด็นถัดมาอาจเกิดจากรอยเลื่อนน้ำผาดในบริเวณนั้น ตรงจุดรอยเลื่อนจะมีพลัง ก่อให้เกิดความร้อน เมื่อฝนตกลงไปในชั้นใต้ดินก่อให้เกิดเป็นน้ำพุร้อนขึ้นมาบนผืนดินในบางพื้นที่ แต่กรณีเปลวไฟที่เกิดขึ้น อาจเกิดจากสาเหตุที่ฝนไม่ตกไม่มีน้ำนำพาความร้อน จึงเกิดเป็นเปลวไฟขึ้น
          อย่างไรก็ตาม ในทางธรณีวิทยา รอยเลื่อนน้ำผาดไม่ต่างจากรอยเลื่อนคลองมะลุ่ย จ.ภูเก็ต หากเกิดการเคลื่อนตัวซึ่งเป็นธรรมชาติของรอยเลื่อน อาจเกิดแผ่นดินไหวแค่ 2-4 ริคเตอร์ ไม่ส่งผลกระทบกับบ้านเรือนหรือชุมชน ส่วนสภาพอากาศที่ร้อนหนักในช่วงนี้ว่าเป็นเพราะกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนปรากฏการณ์ลานินญ่าเปลี่ยนไปเป็นเอลนินโญ่ซึ่งจะสิ้นสุดในปีนี้ เริ่มมาจากเดือนมีนาคมเป็นต้นมา โดยสภาพที่อากาศร้อนในขณะนี้ต้องเฝ้าจับตา หากเกิดอาการฝนทิ้งช่วงระหว่างเดือน ก.ค.-ส.ค. แม้ในช่วงนั้นจะเป็นช่วงฤดูฝนก็ตาม จะเกิดอาการที่ว่าร้อนตับแลบ เพราะเป็นช่วงซีกโลกเหนือหันแกนหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์พอดี แต่ช่วงนั้นอิทธิพลมรสุมตะวันตกเฉียงใต้เข้ามาพอดีทำให้ประเทศไทยฝนตก แต่ถ้าฝนไม่ตกจะเกิดอาการร้อนชื้นไม่มีเหงื่อออกเหมือนกับไปทะเลแล้วไม่มีลมทะเลพัดผ่าน เรียกว่าต้องพบกับสภาพร้อนในหน้าฝน โอกาสที่จะพบเจอมีสูง เหมือนที่เกิดขึ้นแล้วมีฝนตกภาคใต้ในช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา
          ขณะที่ ดร.ปชา ภาณุบุญ ข้าราชการบำนาญ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กรณีแผ่นดินร้อนเป็นไฟที่ จ.พิษณุโลก นักวิชาการที่เกี่ยวข้องต้องรีบออกมาตรวจสอบ ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องใด ในบริเวณนั้นเป็นพื้นที่ภูเขาไฟหรือไม่ แต่สิ่งที่อยากจะเตือนคือมีแนวโน้มว่าจะเกิดแก๊สพิษปะทุขึ้นมาจากใต้ดิน ผุดขึ้นมาตามรอยแยกที่เกิดจากแผ่นดินไหวบริเวณภูเขาหัวโล้นใน จ.เชียงราย และเพชรบูรณ์ โดยแก๊สพิษดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการเผาป่า แต่เป็นมวลหนาแน่นที่เป็นพลังใต้ดิน เริ่มระเบิดขึ้นแล้ว จากใต้ดินแล้วผุดขึ้นมาตามรอยแยกของแผ่นดิน มีลักษณะเป็นควันสีดำ และลอยไปตามลม
          สำหรับแนวทางป้องกัน คือ ปิดตุ่มน้ำอาหาร หาอุปกรณ์มาปิดปาก-จมูก ปิดประตูหน้าต่าง ไม่ให้แก๊สพิษเหล่านี้ลอยเข้าไปในบ้าน ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขต้องรีบแจ้งเตือนให้ชาวบ้านระวังป้องกันแก๊สพิษ หรือควันพิษ อย่าไปหลงประเด็นว่าควันพิษดังกล่าวเกิดจากการเผาป่า
          ต่อมาเวลา 18.00 น. นายกิตติ พุฒิกานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค นำเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือตรวจวัดแก๊สพิษในชั้นบรรยากาศ มาทำการตรวจวัดในพื้นที่ดังกล่าว นายกิตติเปิดเผยในภายหลังว่า กรมควบคุมโรคได้นำเครื่องมือตรวจวัดแก๊สพิษในบรรยากาศได้มากกว่า 100 ชนิด มาทำการตรวจหาแก๊สพิษรอบ ๆ หลุมไฟ ผลปรากฏว่า พบแก๊สหลายชนิด ทั้งมีเทน แอมโมเนียที่มีปริมาณน้อย แต่ตัวที่มีปัญหามากมี 2 ชนิด คือ คาร์บอนไดซัลไฟล์ ตรวจพบรอบหลุมไฟอยู่ที่ 23 พีพีเอ็ม เกินค่ามาตรฐานทั่วไปที่ 20 พีพีเอ็ม และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.12 พีพีเอ็ม แต่ตรวจพบมากกว่าค่ามาตรฐาน 55 เท่า
          สำหรับคาร์บอนไดซัลไฟล์ที่ตรวจพบเกินค่ามาตรฐาน เป็นแก๊สที่อันตรายสำหรับผู้สูดดมอย่างมาก สามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้ทั้งทางผิวหนังและทางเดินหายใจ ในระยะสั้นจะมีการระคายเคืองที่ดวงตาและผิวหนัง และถ้าได้รับเวลาหลายวัน จะมีอาการทางจิต มีอารมณ์เปลี่ยนแปลง ประสาทตาอักเสบ ถ้าระยะยาว จะเจ็บหน้าอก ปวดกล้ามเนื้อ ความจำเสื่อม คล้ายคนป่วยโรคพาร์กินสันที่สั่นตลอด  รวมทั้งอาจผิดปกติทางสมอง เส้นประสาทอักเสบ หลอดเลือดแดงแข็งตัว ถือเป็นอันตรายมากสำหรับคนที่อยู่ใกล้ เราแนะนำว่าควรจะอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 500 เมตร เพราะอาจมีลมพัดสารพิษตัวนี้ไป สิ่งหนึ่งที่อยากเตือนเป็นพิเศษคือคนท้องไม่ควรมารับสารพิษชนิดนี้ อาจจะมีผลต่อการก่อมะเร็ง
          ส่วนแก๊สมีเทนมีปริมาณที่น้อยมาก เบื้องต้นได้ประสานกับ อบต.หนองกะท้าว ให้นำป้าย และเชือกมากั้น และจัดเวรยามเฝ้าระวังประชาชน ไม่ให้เข้าไปใกล้ในระยะอันตราย.
 


pageview  1204937    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved