|
|
|
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ [ วันที่ 20/07/2560 ] |
|
|
|
|
ฉีดเอชพีวี นร.หญิงป.5 ทั่วประเทศดีเดย์1ส.ค.สกัดมะเร็งปากมดลูก |
|
|
|
|
ป้องกันเด็กเป็นมะเร็ง ปากมดลูก ดีเดย์ 1 สิงหาคม ฉีด "วัคซีนเอช พีวี" เข็มแรกในนักเรียนหญิง ป.5 อายุ 10-12 ขวบ ก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกตั้งเป้าทั่วประเทศ 4 แสนราย ยันผลข้างเคียงน้อยพบมีอาการบวมแดงบริเวณรอยเข็มหรือเป็นไข้ตัวร้อนในบางรายเท่านั้น
เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวภายหลังเปิดประชุมเชิงปฏิบัติการ "การให้บริการวัคซีนเอชพีวีในนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เขตกรุงเทพมหานคร" ว่าโรคมะเร็งปากมดลูกพบมากเป็นอันดับ 2 ในหญิงไทย มีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 6,000 รายต่อปี เสียชีวิตประมาณ 3,000 รายต่อปี ทั้งนี้โรคดังกล่าวจัดเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงมากดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคจึงมีความสำคัญโดยฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือวัคซีนเอชพีวีให้เด็กหญิงในช่วงอายุ 10-12 ขวบ ก่อนการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงซึ่งขณะนี้ได้บรรจุวัคซีนดังกล่าวลงในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคฉีดให้กับนักเรียนหญิงชั้น ป.5 ทั่วประเทศประมาณ 4 แสนคน เริ่มวันที่ 1 ส.ค. นี้เป็นเข็มแรก และเข็มที่ 2 จะให้ห่างกันที่ 6 เดือน คือประมาณ ม.ค. 2561
นพ.เจษฎา กล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้จัดซื้อวัคซีนเอชพีวีได้ในราคาเข็มละกว่า 200 บาทถูกกว่าราคาที่ยังไม่ได้ต่อรองหลายเท่าตัว ซึ่งวัคซีนที่ได้จัดซื้อนั้นผ่านการศึกษาแล้วว่ามีความปลอดภัยคุ้มค่า และคุ้มทุน อย่างไรก็ตามข้อห้ามในการฉีดวัคซีนดังกล่าวคือกลุ่มที่เคยมีประวัติแพ้วัคซีน ส่วนผลข้างเคียงถือว่ามีน้อยโดยมีอาการบวมแดงบริเวณจุดที่ฉีดหรือมีอาการเป็นไข้ตัวร้อนซึ่งพบได้ในบางรายเท่านั้นด้าน นพ.วงวัฒน์ ลิ่วลักษณ์ รอง ผอ.สำนักอนามัย กทม. กล่าวว่า กทม.ให้ความสำคัญเรื่องการให้บริการฉีดวัคซีนเอชพีวีซึ่งที่ผ่านมานักเรียนในโรงเรียนสังกัด กทม.ได้รับวัคซีนมาแล้ว 2 ปี ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าวัคซีนมีความปลอดภัยสูง อย่างไรก็ตามในปี 2560 ตามที่ประเทศไทยมีนโยบายระดับชาติในเรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของประเทศที่เด็กนักเรียนหญิงชั้น ป.5 ประมาณ 4 แสนคน ทั่วประเทศจะได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง
สำหรับมะเร็งปากมดลูกคือ ปากมดลูกติดเชื้อไวรัสชื่อ ฮิวแมน แปปิลโลมา ไวรัส หรือเอชพีวี หรือไวรัสหูดนั่นเอง ไวรัสเอชพีวีมีทั้งหมดกว่า 100 ชนิด แต่ที่ทำให้ติดเชื้ออวัยวะสืบพันธุ์มีประมาณ 30-40 ชนิด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มเสี่ยงต่ำจะทำให้เกิดการเป็นหูดหงอนไก่และกลุ่มเสี่ยงสูงจะทำให้เกิดมะเร็ง ซึ่งที่พบบ่อย คือ มะเร็งปากมดลูก ซึ่งไวรัสชนิดนี้ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ทำให้มีรอยถลอกของผิวหรือเยื่อบุในอวัยวะสืบพันธุ์ จึงทำให้เชื้อไวรัสเข้าไปอยู่ที่ปากมดลูกทำให้ปากมดลูกมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อ หรือเซลล์ของปากมดลูกกลายเป็นเซลล์/เนื้อเยื่ออักเสบเรื้อรัง (ระยะก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูก)และเป็นมะเร็งในที่สุดโดยระยะเวลาตั้งแต่ติดเชื้อไวรัสจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งนั้นใช้ระยะเวลาประมาณ 10-15 ปี แต่อาจเร็ว หรือ ช้ากว่านี้ได้
นอกจากนั้นยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่เป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกอีกด้วยโดยแบ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของฝ่ายหญิงที่สำคัญ อาทิ มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย (ต่ำกว่า 18 ปี), มีคู่นอนหลายคน, คลอดบุตรจำนวนหลายคน (มากกว่า 3 คนขึ้นไป), เป็นโรคเรื้อรังหรือโรคที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ โดยเฉพาะติดเชื้อไวรัส เอชไอวี/โรคเอดส์, มีประวัติเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน เช่น เริม หรือ หนองใน, เคยมีความผิดปกติ (การอักเสบเรื้อรัง) ของปากมดลูกโดยตรวจพบจากการตรวจภายในและจากตรวจเซลล์ปากมดลูกที่เรียกว่า แป๊บสเมียร์ หรือ แป๊บเทส, สูบบุหรี่ และมีประวัติการใช้ยาฮอร์โมนเพศ ชนิดไดอีธีลสติลเบสทรอลเพื่อป้องกันการแท้งบุตร. |
| | |
|
| |