รัฐบาลยืนยันอีกเมื่อ 22 ก.พ. ว่าจะไม่ยกเลิก 'ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" หรือ'บัตรทอง" ส่วนปีงบประมาณ 2561 แม้ "งบบัตรทอง" จะถูกปรับลดจากที่มีการเสนอขอ แต่ก็ยังมากกว่างบปี 2560 โดยเฉลี่ยต่อหัวของผู้มีสิทธิตามระบบนี้ก็เพิ่มขึ้น 87.75 บาท หรือคิดเป็น 3,197.32 บาทต่อหัว ซึ่งฟังการยืนยันไม่เลิกบัตรทองที่เป็น 'ที่พึ่งด้านสุขภาพของคนจน"  แล้ว ประชาชนที่ไม่ได้มีสวัสดิการสุขภาพระบบอื่น...คงโล่งใจ
          แต่ 'พัฒนาระบบบัตรทอง" ก็ควรเดินหน้า
          รวมถึง 'งบประมาณ" ก็ควรต้องเพียงพอ!!
          ทั้งนี้ พลิกย้อนดูการแถลง นโยบายรัฐบาล ของรัฐบาลปัจจุบัน ทางนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แถลงไว้ 11 ด้าน และระบุว่าเป็น กรอบใหญ่-แนวทางการทำงานของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การสร้างสังคมที่ มีการปฏิรูป-มีความเป็นธรรม
          กับกรอบการทำงานของรัฐบาล 11 ด้านนั้น ด้าน ลดความเหลื่อมล้ำของสังคม สร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการของรัฐก็มีการระบุไว้ โดยนโยบายด้านนี้ก็ได้มีการระบุถึงการ จะพัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคม เตรียมความพร้อมประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ไว้อย่างชัดเจน และ...ยกระดับคุณภาพและบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพประชาชน โดยจะวางรากฐาน พัฒนา เสริมความเข้มแข็งให้แก่การบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพประชาชน เน้นความทั่วถึง มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ...นี่ก็เป็น 1 ใน 11 ด้านของกรอบการทำงานของรัฐบาลตามที่ได้แถลงไว้ ซึ่งกับ'เรื่องสุขภาพประชาชน" นั้นก็เช่นเดียวกับเรื่องการศึกษาดังที่ ณ ที่นี้ได้นำเสนอไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ คือ...ก็ 'ยึดโยงกับเรื่องความเหลื่อมล้ำ"
          การ 'พัฒนาสุขภาพคนไทยส่วนใหญ่ที่ยังยากจน"
          นี่ก็ 'เป็นหนึ่งในการลดความเหลื่อมล้ำของสังคม"
          รัฐบาลปัจจุบันยืนยันไว้แต่แรกถึงการมีนโยบายที่ "จะลดความเหลื่อมล้ำของสังคม" และก็ยืนยันไว้ด้วยถึงการ "จะพัฒนาด้านสุขภาพประชาชนโดยเน้นความทั่วถึง มีคุณภาพและประสิทธิ ภาพ" อีกทั้งนายกรัฐมนตรีก็ยังระบุไว้แต่ต้นด้วยว่า..."การเบิกจ่ายงบประมาณต้องตรงกับสิ่งที่ต้องการขับเคลื่อน" และ โดยเฉพาะส่วนที่เร่งด่วน ซึ่งการดูแลสุขภาพประชาชนให้อยู่ดีมีสุขด้านสุขภาพที่จะมีส่วนช่วยเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย และก็จะมีผลดีต่อเนื่องไปถึงการ "สร้างความปรองดองในสังคมไทย" นั้น...เรื่องสำคัญเหล่านี้ก็ น่าจะถือว่าเป็นเรื่องที่เร่งด่วน!! และก็น่าจะตรงกับสิ่งที่รัฐบาลต้องการขับเคลื่อน!!
          กล่าวสำหรับ 'บัตรทอง-ที่พึ่งคนจนยามเจ็บไข้"โดยมีงบประมาณรัฐช่วยรักษาพยาบาล ผ่านทางกองทุน ผ่านทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. โดย มีผู้ต้องพึ่งสิทธิตามระบบนี้กว่า 48 ล้านคน หรือกว่า 70% ของคน ไทยโดยรวม นั้น กับงบประมาณในส่วนนี้ มีข่าวว่าปีงบประมาณ 2561 จากที่ สปสช. เสนอของบ 141,916 ล้านบาท ถูกปรับลดเหลือ 128,533 ล้านบาท ซึ่งแม้จะมากกว่างบปี 2560 กว่า  4,500 ล้านบาท แต่ก็ลดจากที่คณะกรรมการ สปสช. ที่มี รมว. สาธารณสุข เป็นประธาน พิจารณาว่า'จำเป็น" ในการใช้ดูแลสุขภาพประชาชน กว่า 13,000 ล้านบาท และแม้ต่อมามีการเพิ่มอีกราว 500 ล้านบาท สำหรับสิทธิใหม่ 3 รายการ คือ คัดกรอง มะเร็งลำไส้ใหญ่ในกลุ่มเสี่ยง วัคซีนมะเร็งปากมดลูก ค่าบริการกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน...
          กระนั้น...การจะลดความเหลื่อมล้ำของสังคม ในส่วนการพัฒนาการดูแลสุขภาพประชาชน จะทำได้ทั่วถึง มีคุณภาพประสิทธิภาพ ตามที่รัฐบาลต้องการขับเคลื่อน.แค่ไหน-อย่าง ไร??ก็น่าคิด? ซึ่งงบบัตรทองที่มีแค่เดิม ๆ หรือเพิ่มก็แค่เล็กน้อยนั้น ทาง นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข ก็ยังออกปากถึงข้อจำกัดไว้ว่า การบริหารจัดการทำได้ยาก ขณะที่ ผู้สูงอายุในไทยมีเพิ่มขึ้น โรคภัยมีมากขึ้น
          บัตรทองยังมี แต่จากนี้ไปจะอย่างไร? ก็น่าคิด?
          ทั้งนี้ ประเทศไทยช่วง 2-3 ปีมานี้ เรื่องความมั่นคงดูจะยิ่งเป็นเรื่องสำคัญ งบปี 2560 ด้านกลาโหมก็ขยับเพิ่มเกิน 200,000 ล้านบาทมากขึ้น ขณะที่การ จัดซื้อ จะจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ เช่น รถถัง เรือดำน้ำ เป็นหลักหลายพันล้านบาท เป็นหลักหมื่นล้านบาท ก็มีข่าวเป็นระยะ ๆ ท่ามกลางเสียงยืนยันว่า "จำเป็น"
          อย่างไรก็ตาม สำหรับ "คนจน" ที่ในไทยคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ คือกำลังขับเคลื่อนประเทศส่วนสำคัญ เรื่องการมีสุขภาพดี เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยได้รับการรักษาพยาบาลตามความเหมาะสม ก็น่าจะ "จำเป็น" ต่อความมั่นคงของประเทศใน รูปแบบหนึ่ง เช่นกัน ซึ่งจากข่าว งบบัตรทอง ก็คงมีคนไทยไม่น้อยที่คิดไปถึง งบอาวุธ คิดว่ารัฐควร จัดสรร 'งบบัตรทอง" ให้เพียงพอตามที่มีการพิจารณาแล้วว่า 'จำเป็น" พร้อมกับพัฒนาระบบดูแลสุขภาพประชาชนให้ทั่วถึง มีคุณภาพ-ประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง...
          แบบนี้ 'คนไทยที่ต้องพึ่งบัตรทอง" ก็คงจะ 'อุ่นใจ"
          'รู้สึกมั่นคงปลอดภัย" ไม่แพ้กรณีไทยมีอาวุธเพิ่ม!!!.