|
|
|
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ [ วันที่ 02/09/2556 ] |
|
|
|
|
สัญญาณอันตราย ตาย-พิการ โรคหลอดเลือดสมอง |
|
|
|
|
แขน ขาอ่อนแรงครึ่งซีก, มองไม่เห็นข้างหนึ่ง หรือกรอกตาไปข้างใดข้างหนึ่งไม่ได้ หรือเห็นภาพซ้อน, ชาซีกใดซีกหนึ่ง, มึนงง ทรงตัวไม่ได้ เดินเซ, พูดไม่ชัด พูดอ้อแอ้ เป็นอาการที่ไม่ควรเพิกเฉย เพราะอาการเหล่านี้ คือ สัญญาณเตือนภัย โรคหลอดเลือดสมอง
สถิติกระทรวงสาธารณสุข ปีค.ศ.2004 ระบุว่า โรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ในเพศหญิงและอันดับ 3 ในเพศชาย และยังเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของความพิการในประชากรไทย เนื่องจากเมื่อเป็นแล้ว มักมีความพิการเกิดขึ้น และสามารถกลับเป็นซ้ำได้ จึงจำเป็นต้องรักษาตลอดชีวิต
องค์การอนามัยโลก (WHO) ประมาณการว่า ทุกปีจะมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมากกว่า 15 ล้านคนทั่วโลก จำนวนนี้ 5 ล้านคน พิการถาวร อีก 5 ล้านคนเสียชีวิต และอีก 2 ใน 3 อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา คาดว่าปี พ.ศ.2563 จะมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นทั่วโลกเป็น 2 เท่า
สำหรับในประเทศไทย คาดว่ามีผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละปีประมาณ 150,000 ราย โดยพบปริมาณผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต เพิ่มขึ้นเป็น 0.5 ล้านคน ต้องเสียค่ารักษาประมาณ 20,632 ล้านบาทต่อปี
พญ.ทัศนีย์ ตันติฤทธิศักดิ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาประสาทวิทยา หัวหน้ากลุ่มงานประสาทวิทยา สถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ ประกอบด้วย 8 ปัจจัย ได้แก่ ภาวะความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ประวัติญาติสายตรงเคยเจ็บป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง ขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม จึงจำเป็นที่จะต้องดูแลรักษาปัจจัยเสี่ยง เพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
อาการสำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง ตามแนวทางการวินิจฉัย Cincinnati stroke scale มีหลักการจำให้เข้าใจง่าย โดยใช้คำว่า FAST ซึ่งประกอบด้วย F = Face หมายถึงอาการหน้าเบี้ยว , A = Arm หมายถึงอาการแขนขาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง , S = Speech หมายถึงอาการพูดไม่ชัด พูดลำบาก พูดไม่ได้ หรือสื่อสารไม่เข้าใจ , T = Time หมายถึงเวลาที่จะต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
โรคหลอดเลือดสมอง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.ชนิดแตก ซึ่งเกิดจากการมีเลือดออกในเนื้อสมอง จากผนังเส้นเลือดเสื่อมสภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความดันโลหิตสูงนาน ๆ หรือควบคุมความดันโลหิตได้ไม่ดี หรือเลือดออกในเนื้อสมองจากการที่เส้นเลือดมีสารอะไมลอยด์สะสม ทำให้เส้นเลือดแตก การแตกของเส้นเลือดโป่งพอง ในช่องที่อยู่ของน้ำไขสันหลัง ผู้ป่วยมักมีโรคความดันโลหิตสูงร่วมด้วย เส้นเลือดดำและแดงต่อกันผิดปกติ ทำให้มีเลือดออกทั้งในเนื้อสมอง และในช่องที่อยู่ของน้ำไขสันหลัง มักพบในผู้ที่อายุน้อย ไม่ทราบสาเหตุ หรือเกิดจากการแตกของหลอดเลือดสมอง ทำให้มีเลือดออกมาคั่ง และทำลายเนื้อสมองในบริเวณนั้น นอกจากนี้ อาจกดเบียดสมองส่วนที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้สมองส่วนนั้นทำหน้าที่ไม่ได้ตามปกติ เกิดอัมพฤกษ์ หรืออัมพาตได้
ประเภทที่ 2 ชนิดตีบ หรืออุดตัน เกิดจากเส้นเลือดใหญ่ในสมองแข็งและตีบตัน อาจเกิดจากมีแคลเซียมหรือตะกอนไขมันไปเกาะหลอดเลือด ทำให้รูของหลอดเลือดแคบลง เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้เนื้อสมองตายเป็นบริเวณกว้าง หรือเกิดจากมีลิ่มเลือดหลุดจากที่อื่น เช่น จากหัวใจมาอุดตันหลอดเลือดสมอง มักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ เช่น หัวใจรูมาติก กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจเต้นผิดจังหวะ ทำให้สมองบางส่วนขาดเลือด
พญ.ทัศนีย์ ย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุด คือ เมื่อมีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง ควรรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพื่อให้ผลการรักษาทันท่วงที ลดความพิการที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากเซลล์สมองขาดเลือดเพียง 1 นาที จะมีเซลล์สมองตายถึงประมาณ 2 ล้านเซลล์ ดังนั้น ถ้าได้รับการรักษาช้า อาจทำให้เซลล์สมองตายมากขึ้น ทำให้เกิดความพิการมากขึ้นได้ โรคหลอดเลือดสมองป้องกันได้ ถ้าดูแลรักษาไม่ให้เกิดปัจจัยเสี่ยง
พญ.ทัศนีย์ ได้แนะนำแนวทางการปฏิบัติตัวเพื่อลดความ เสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มเติมอย่างง่ายว่า การตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ฯลฯ เป็นส่วนที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเตรียมพร้อมตั้งรับ และไม่ปล่อยให้อาการเหล่านี้ลุกลามจนกลายเป็นโรคหลอดเลือดสมองในที่สุด นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดอาหาร หวาน มัน เค็ม งดดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ พบแพทย์สม่ำเสมอ และห้ามหยุดยาเองโดยเด็ดขาด หากรักษาสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ จะช่วยป้องกันโรคอย่างได้ผลดีที่สุด
อย่าประมาท ทั้งอาหารการกิน การดูแลสุขภาพตัวเอง รวมไปถึงสัญญาณต่างๆ ที่ร่างกายบอกเรา เพราะนั่นหมายถึง ความเสี่ยงต่อชีวิต !!!. |
| | |
|
| |