คนเราจะพูดได้ต้องได้ยินเสียงพูดมาพอสมควรก่อนแล้วจดจำคำที่ตัวได้ยินนั้นมาหัดพูดทีละเล็กทีละน้อยจนพูดได้ดี หูของเราทุกคนไม่ได้มีไว้ฟังเสียงอย่างเลื่อนลอยการฟังต้องแยกเสียงให้ได้ว่าเสียงนั้นมีความหมายอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงและยังสามารถติดต่อกันได้ในรูปของการสื่อความหมายในรูปการพูดได้ด้วยชีวิตของมนุษย์ต้องอาศัยการฟังเสียงการพูดทุกวันเพราะฉะนั้นเรื่องการใช้หูหรือความผิดปกติของหูจึงต้องไปคู่กันกับการพูดเสมอ (พูนพิศ อมาตยกุล, 2522)
ในคนที่มีความผิดปกติของการได้ยินลักษณะเสียงพูดจะผิดเพี้ยนไปในระดับที่มากน้อยขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของการสูญเสียการได้ยินกลไกของการได้ยินเสียง
การได้ยินเสียงของคนเรานั้นเริ่มต้นเมื่อมีคลื่นเสียงจากการสั่นสะเทือนของอากาศผ่านเข้ามาในหูชั้นนอกและเข้าไปกระทบเยื่อแก้วหูทำให้เกิดการสั่นของเยื่อแก้วหูและส่งผ่านการสั่นสะเทือนต่อไปยังกระดูกรูปค้อนกระดูกรูปทั่งและกระดูกรูปโกลนในหูชั้นกลางตามลำดับ
กระดูกรูปโกลนติดต่ออยู่กับก้นหอยของหูชั้นในจะส่งผ่านการสั่นสะเทือนเข้าไปในหูชั้นใน ซึ่งมีของเหลวและเซลล์ขนอยู่การสั่นสะเทือนจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าและถูกส่งผ่านเซลล์ขนไปสู่เส้นประสาทหูไปยังสมองเพื่อให้เกิดการรับรู้และแปลความหมายของเสียงที่ได้ยินการสูญเสียการได้ยินที่พบบ่อย
1.การติดเชื้อของหูชั้นกลาง (Otitis Media) หรือหูน้ำหนวกเป็นสาเหตุของการสูญเสียการได้ยินชั่วคราวมักพบในเด็ก
2.การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงอึกทึก (NoiseInduced) เป็นสาเหตุของการสูญเสียการได้ยินชนิดถาวร
3.การสูญเสียการได้ยินเนื่องจากวัยชรา (Presbyacusis) มีการสูญเสียการได้ยินในช่วงเสียงที่มีความถี่สูงสาเหตุบางอย่างของการสูญเสียการได้ยิน
1.ความผิดปกติแต่กำเนิดจากสาเหตุทางกรรมพันธุ์ 2.มารดามีความผิดปกติขณะตั้งครรภ์ หรือขณะคลอด
3.การติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส เช่น โรคไข้สมองอักเสบ คางทูม งูสวัด เป็นต้น
4.การประกอบอาชีพหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง
5.อุบัติเหตุต่อศีรษะที่กระทบถึงประสาทหู 6.โรคบางชนิด เช่น เนื้องอกของเส้นประสาทที่เกี่ยวกับการได้ยิน โรคแพ้ภูมิต้านทานตัวเอง โรคเบาหวาน โรคไต โรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
7.ความเสื่อมตามธรรมชาติอาการของการสูญเสียการได้ยิน
1.ได้ยินเสียงเบาลงรู้สึกหูสองข้างได้ยินไม่เท่ากันหรือการรับฟังเสียงมีปัญหาเมื่ออยู่ในที่มีเสียงรบกวน
2.ได้ยินเสียงพูดแต่ไม่สามารถเข้าใจคำพูดของผู้พูด
3.ถามคำถามซ้ำๆ 4.เปิดเสียงวิทยุหรือโทรทัศน์ดังกว่าคนที่มีการได้ยินปกติ
5.ไม่สามารถเข้าใจเสียงคำพูดทางโทรศัพท์ 6.มีเสียงรบกวนในหูร่วมกับอาการหูอื้ออาจมีอาการเวียนศีรษะร่วมด้วยการตรวจด้วยตนเองอย่างง่ายๆ
1.ถูนิ้วที่ข้างหู 2.พูดเสียงกระซิบ 3.เสียงเข็มนาฬิกาเดินแนวทางในการตรวจโรคหู
1.ปวดเจ็บในหู 2.ในรูมีน้ำ 3.ฟังคำไม่รู้ 4.ในหูมีเสียง 5.เอี้ยวเอียงเวียนหัวมีอาการ
1 อย่าง -----> สงสัย 2 อย่าง -----> เป็นโรค
3 อย่าง -----> มีการสูญเสียการได้ยินต้องมาพบแพทย์การรักษา
การสูญเสียการได้ยินที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของหูชั้นนอกหรือหูชั้นกลาง สามารถรักษาได้โดยการรับประทานยาหรือการผ่าตัด ส่วนการสูญเสียการได้ยินที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของหูชั้นใน ซึ่งมีผลทำให้ประสาทหูเสื่อมจะไม่สามารถรักษาให้หายได้อาจต้องใส่เครื่องช่วยฟังเพื่อช่วยรับฟังเสียง