HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

สถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยแม้ว่าหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลายและกำลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในบางพื้นที่โดยเฉพาะ จ.ฉะเชิงเทรา พบว่าอยู่ในภาวะวิกฤติ เนื่องจากมวลน้ำจากทุกสารทิศต่างทะลักโถมเข้าท่วมพื้นที่อย่างหนัก แต่ล่าสุดที่ จ.ชลบุรี เกิตเหตุการณ์หนุ่มพ่อค้ายาเสพติดนำยาบ้ามาบริจาคให้แก่ทางการเพื่อนำเงินไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม

เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 14 ตุลาคม นายภวัต เลิศมุกดา นายอำเภอสัตหีบ นายชวัฒน์ เทพทัพ ปลัดฝ่ายความมั่นคง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด จับกุมตัวนายจักรฤกษ์ มุขประดับ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33/2 หมู่ 1 ต.บ้านฉาง อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ขณะนำยาบ้าจำนวน 11 เม็ด มามอบให้แก่เจ้าหน้าที่จุดรับบริจาคสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม บริเวณหน้าวัดเทพประสาท บ้านเตาถ่าน หมู่ 4 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ. ชลบุรี เพื่อนำไปขายแลกเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม

นายภวัต เลิศมุกดา นายอำเภอสัตหีบ เปิดเผยว่า ทางอำเภอสัตหีบ ได้จัดตั้งศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมขึ้น โดยทุกวันผู้มีจิตศรัทธาตจะเวียนกันนำสิ่งของมาบริจาค ก่อนเกิดเหตุผู้ต้องหามีอาการคล้ายคนเมาได้เดินเข้ามาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ แจ้งความประสงค์ขอบริจาคยาบ้า จำนวน 11 เม็ด เพื่อให้เจ้าหน้าที่นำไปขายแลกเป็นเงินประมาณ จำนวน 3,000 บาท เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออก เมื่อตรวจสอบพบเป็นยาบ้าจริง จึงเข้าจับกุม

นายจักรกฤษ์ มุขประดับ รับสารภาพว่าก่อนหน้านี้เคยถูกจำคุกในดคีค้ายาเสพติดมาแล้ว หลังพ้นโทษก็ได้หวนกลับมายึดอาชีพค้ายาบ้าตามเดิม โดยรับยาบ้ามาจากนายจำลอง (ไม่ทราบนามสกุล) เอเย่นต์ค้ายาเสพติดพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง กระทั่งทราบข่าวว่า อ.สัตหีบ จัดตั้งศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือน้ำท่วม จึงอยากทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยการนำยาบ้าจำนวน 11 เม็ดมามอบให้แก่เจ้าหน้าที่ เพื่อให้นำไปขายแลกเป็นเงิน อย่างไรก็ตามยอมรับว่า เสพยาบ้ามา 5 เม็ด ก่อนมาเกิดเหตุขึ้นดังกล่าว

ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย เริ่มที่ จ.ฉะเชิงเทรา พบว่า ยังอยู่ในภาวะวิกฤติ โดยน้ำยังท่วมขัง ต.บางขนาก ต.บางโรง อ.บางน้ำเปรี้ยว, ต.บางกระเจด อ.บางคล้า ต.คลองเขื่อน อ.คลองเขื่อน และ อ.ราชสาส์น โดยเฉพาะระดับน้ำในเขตพื้นที่ อ.ราชสาส์น และ อ.บางคล้า พบว่า เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก

วันเดียวกันที่ นายอนุกูล ตั้งธนานุกูลชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เปิดเผยถึงภาวะน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า ทางจังหวัดพยายามเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่โดยไม่ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ เร่งระบายน้ำออกตามประตูระบายน้ำ และได้ประสานไปยังกองทัพเรือให้ช่วยนำเรือผลักดันน้ำมาประจำที่บริเวณแม่น้ำบางปะกง เพื่อช่วยผลักดันน้ำให้ไหลลงสู่ปากอ่าวบางปะกงได้เร็วยิ่งขึ้น คาดว่าจะสามารถระบายน้ำออกจากื้นที่ได้มากกว่าวันละ 30 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และน่าจะทำให้สถานการณ์ในพื้นที่คลี่คลายลงได้ภายใน 1 สัปดาห์

ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในพื้นที่ตะวันออกว่า ช่วงนี้สถานการณ์คลี่คลายลงบ้าง โดยที่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี น้ำเริ่มลดลงโดยไหลไปตามเส้นทาง ซึ่งในวันนี้จะไปหนักในพื้นที่ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา อย่างไรก็ตามในวันที่ 14 ตุลาคม จะลงพื้นที่ลงไปให้กำลังใจประชาชน รวมถึงดูความเตรียมพร้อมของจังหวัดในการเข้าสู่โหมดการเยียวยาว่าจะทำอย่างไรด้วย

ส่วนการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้ เบื้องต้นได้สั่งการไแล้ว เพราะทราบตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาว่าในแต่ละพื้นที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงสู่ขั้นตอนของการเยียวยา ซึ่งหลักเกณฑ์ในการเยียวยาว่า คงไม่สามารถใช้หลักเกณฑ์ทั้งหมดเหมือนในปี 2554 เพราะว่าในปีดังกล่าวเป็นหลักเกณฑ์พิเศษจริงๆ โดยวันนี้มีเกณฑ์ที่ออกมาซึ่งเป็นเกณฑ์ปกติอยู่แล้ว คือการดูแลในเรื่องชีวิตทรัพย์สิน ซึ่งในเรื่องทรัพย์สินได้อนุมัติกรอบวงเงินขึ้นมาโดยรวมนั้นดีกว่าปี 2554

ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี ว่า ที่ผ่านมากองทัพบกได้เตรียมการสำหรับช่วยเหลือประชาชนในยามภัยพิบัติ และมีกองร้อย 3 ภารกิจ ในกองทัพภาค ทั้งหมด 150 กองร้อย หรือจำนวน 3 หมื่นคน ซึ่งในปีนี้ได้ใช้ไปแล้ว 36 กองร้อย ในทุกกองทัพภาค ทั้งกองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 และทางกองทัพภาคที่3 ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ได้สั่งการให้มณฑลทหารบกที่ 11 เร่งไปสำรวจแนวกั้นน้ำและคันกั้นน้ำต่าๆ ว่าเพียงพอหรือไม่

สำหรับพื้นที่ที่ ผบ.ทบ.ห่วงที่สุด คือ ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นจุดวิกฤติที่สุด จึงได้สั่งการให้ กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์, มณฑลทหารบกที่ 12, มณฑลทหารบกที่ 14, กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ เข้าดูแล เพราะห่วงสถานการณ์น้ำที่จะรับจากปราจีนฯ บ้านสร้าง ไหลลงสู่ทะเลที่อ.บางคล้า บ้านโพธิ์ วังน้ำเปรี้ยว ซึ่งผบ.ทบ.ได้สั่งให้กรมขนส่งทางบก และกรมการหารช่าง เข้าดูแล เตรียมเรือและรถให้พร้อมช่วยเหลือประชาชนเพราะต้องรับวิกฤติหนักกับปริมาณน้ำในพื้นที่ฉะเชิงเทรา เพราะประเมินว่าน้ำท่วมในพื้นที่ภาคตะวันออกครั้งนี้จะหนักกว่าเดิม 3 เท่า และห่วงเรื่องการสัญจรไปมาของประชาชน จึงส่งกำลังทหารในพื้นที่ไปให้ความสะดวกแก่ประชาชน

ที่ จ.สระแก้ว นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส.ส.ในพื้นที่ ร่วมกับชาวบ้าน และทหาร ช่วยกันทำความสะอาดถนนชุมชน และตลาดอรัญประเทศ จ.สระแก้ว หลังระดับน้ำลดลงสู่ภาวะปกติ ซึ่งน้ำท่วมครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นบริเวณกว้างและยาวนานกว่าทุกครั้ง ทำให้พ่อค้าแม่ค้าได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เช่นเดียวกับพื้นที่ ต.โพงพาง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ที่ถูกน้ำท่วมนานกว่า 1 เดือน ระดับน้ำลดลง ชาวบ้านบางครอบครัวกลับเข้าบ้าน ยกเว้นบริเวณริมคลองโผงเผงที่น้ำยังท่วมสูง ขณะที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเร่งสำรวจความเสียหาย โดยจะช่วยเหลือเบื้องต้นครอบครัวละไม่เกิน 3,000 บาท ส่วนบ้านที่เสียหายทั้งหลังไม่เกิน 33,000 บาท และความเสียหายพื้นที่เกษตรและเลี้ยงสัตว์ไม่เกิน 5,000 บาท

ที่ จ.ปราจีนบุรี สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในเขต อ.ประจันตคาม ยังคงน่าห่วง โดยภาพรวมยังอยู่ในระดับวิกฤติ ระดับน้ำในชุมชนวัดศรีประจันตคามสูงถึง 80 เซนติเมตร ส่วนที่ต.บ้านหอย การคมนาคมยังถูกตัดขาด เนื่องจากระดับน้ำสูงเกินกว่า 1.50 เมตร เช่นเดียวกับที่บ้านบางไผ่ บ้านดงไชยมัน ต.ประจันตคาม ระดับน้ำสูงเกิน 2 เมตร รถทุกชนิดไม่สามารถผ่านเข้า-ออกได้ ส่วนที่ อ.ศรีมโหสถ ระดับน้ำเพิ่มขึ้นล็กน้อย อ.เมือง ระดับน้ำเริ่มทรงตัว ถนนสายปราจีนอนุสรณ์ ระดับน้ำอยู่ที่ 70 เซนติเมตร รถเล็กยังไม่สามารถผ่านได้ ส่วนที่ อ.บ้านสร้าง ระดับน้ำเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเพราะน้ำจาก อ.เมือง อ.ศรีมโหสถ ไหลลงพื้นที่ ทำให้พื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง

วันเดียวกัน พ.ต.อ.ยิ่งยศ อินทบุหรั่น ผกก.สภ.เมืองปราจีนบุรี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองปราจีนบุรี รับแจ้งว่า กลุ่มชาวบ้านนำจอบเสียมและอุปกรณ์ต่างๆ ไปทำลายคันดินกั้นน้ำบริเวณถนนสฤษฏิ์ยุทธศิลป์ที่ทางเทศบาลเมืองปราจีนบุรีสร้างไว้เพื่อกันน้ำไม่ให้ไหลเข้าท่วมเขตเทศบาล หลังจากเจ้าหน้าที่เดินทางไปตรวจสอบพบว่า มีกลุ่มชาวบ้านกำลังใช้จอบและรถไถดันดินที่ถมเป็นแนวออก สาเหตุเกิดจากความขัดแย้งเรื่องภัยน้ำท่วม ระหว่างชาวบ้านในหมู่บ้านโครงการเอื้ออาทร ที่อาศัยนอกเขตเทศบาลเมืองปราจีนบุรีที่ทำแนวคันดินกั้นน้ำดังกล่าวโดยชาวบ้านนอกเขตเทศบาลพยายามเข้ามารื้อคันกั้นน้ำ เนื่องจากเกรงว่า หมู่บ้านเอื้ออาทรประมาณ 1,650 ครอบครัว ที่อาศัยอยู่ทางด้านเหนือแนวถนนจะถูกน้ำเอ่อเข้าท่วม

อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นนายสมศักดิ์ อิทธิวรกุล นายอำเภอเมืองปราจีนบุรี และนายทศพล พินิจธนภาคย์ รองนายกเทศมนตรีเมืองปราจีนบุรี อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ได้พูดคุยทำความเข้าใจกับชาวบ้าน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง โดยสรุปเป็นข้อตกลงว่า ทางเทศบาลจะไม่นำดินถมเพิ่มอีก ส่วนคันดินที่ขาดอยู่เป็นช่วงๆ ทางเทศบาลจะไม่ปิด หรือซ่อมแซมซึ่งผลการเจรจา ทำให้ชาวบ้านพอใจยอมรับข้อตกลง

ที่ จ.ขอนแก่น ร.ต.ท.โอทูน อิงคะประเสริฐ ร้อยเวร สภ.ชนบท รับแจ้งเหตุเด็กจมน้ำบริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านห้วยอึ่ง ต.ชนบท ตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านบ้านห้วยอึ่ง ซึ่งเป็นทางน้ำไหลของน้ำชีผ่านถนน และลอดท่อประตูน้ำไหลลงหนองกองแก้ว ซึ่งมีลักษณะคล้ายน้ำตก ทำให้มีชาวบ้านลงเล่นน้ำจำนวนมาก เบื้องต้นทราบว่า เด็กที่จมน้ำหายไปมี 2 คนชื่อ ด.ญ.พิณพิชา จิตรเงิน อายุ 13 ปี อยู่หมู่ 1 ต.บ้านแท่น อ.ชนบท ส่วนอีกคนทราบชื่อ ด.ญ.กิตติมา ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งทั้งสองคนได้มาเล่นน้ำกับกลุ่มเพื่อนร่วมทั้งหมด 4 คน จากการตรวจสอบพบว่าในที่เกิดเหตุน้ำค่อนข้างหลเชี่ยวมาก และมีร่องน้ำเก่าที่ค่อนข้างลึก เด็กทั้งสองอาจจะเดินไปตกร่องและกระแสน้ำไหลพัดห่างออกไป กระทั่งจมไปต่อหน้าต่อตาเพื่อนๆ โดยชาวบ้านที่มาเล่นน้ำตกก็พยายามช่วยแต่น้ำไหลแรงมากไม่มีใครกล้าว่ายไปไกล เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้ระดมชุดประดาน้ำหานานหลายชั่วโมงยังไม่พบ

ส่วนสถานการณ์น้ำในขอนแก่น ขณะนี้ระดับน้ำในน้ำชีที่ไหลจาก จ.ชัยภูมิ ได้ไหลเข้าเขต จ.ขอนแก่น โดยมวลน้ำได้ท่วมพื้นที่อ.ชนบท 6 หมู่บ้าน คือบ้านท่าม่วง บ้านกุดหล่ม บ้านวังเวิน บ้านหนองหวาย บ้านดอนดู่และบ้านโนนพยอม ซึ่งเป็นหมู่บ้านใกล้แม่น้ำชี ส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อน ไร่นาเสียหายไปจำนวนมาก และคาดว่ามวลน้ำจะไหลเข้าสู่พื้นที่ อ.เมืองขอนแก่น ภายใน 2-3 วันนี้

ขณะเดียวกันที่ จ.นครราชสีมา หลังจากน้ำจากลำน้ำมูล อ.พิมาย ไหลเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมสถานที่ราชการ และบ้านรือนประชาชนที่อาศัยอยู่ติดลำน้ำมูลเป็นครั้งที่สองในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมาพบว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำยังเพิ่มสูงต่อเนื่องกว่า40-50 เซนติเมตร ส่วนสาเหตุที่ทำให้ปริมาณน้ำในลำน้ำมูลเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากลำน้ำมูลในพื้นที่ อ.พิมาย เป็นพื้นที่รองรับน้ำสุดท้ายจากทุกพื้นที่ใน จ.นครราชสีมา จึงทำให้ปริมาณน้ำไหลมาสมทบกับปริมาณน้ำที่มีอยู่เดิม ส่งผลให้ระดับน้ำภายในลำมูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกันกับที่ชุมนวังบูรพาหมู่ 2 ต.ในเมือง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่เหนือเขื่อนระบบน้ำพิมายได้ถูกน้ำจากลำมูลเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมเป็นระยะเวลานานกว่า 1 สัปดาห์ เบื้องต้นพบว่าระดับน้ำยังคงมีปริมาณน้ำท่วมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 1 เมตร ส่งผลให้บ้านเรือนปะชาชนได้รับความเดือดร้อน บางรายจำเป็นที่จะต้องทิ้งบ้าน เพื่อไปขออาศัยอยู่กับญาติภายในตัวเมืองพิมาย

ขณะเดียวกันระดับน้ำเหนือโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาทุ่งสัมฤทธิ์ พบว่า ระดับน้ำอยู่ในเกณฑ์ล้นตลิ่ง วัดระดับน้ำจากพื้นเขื่อนได้ 6 เมตร 71 เซนติเมตร ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเปิดประตูระบายน้ำทั้ง 6 บานเต็มพิกัด อีกทั้งยังเปิดประตูระบายน้ำ เพื่อผันน้ำลงคลองส่งน้ำจำนวน 2 บาน พร้อมเปิดประตูระบายน้ำที่ระบายลงสู่ลำน้ำเค็ม จำนวน 3 บานเช่นกัน นอกจากนี้ยังเปิดเครื่องผลักดันน้ำจำนวน 4 เครื่อง ที่ติดตั้งบริเวณประตูระบายน้ำเพื่อเร่งผลักดันน้ำให้ไหลลงแม่น้ำมูลเร็วขึ้น เนื่องจากเขื่อนระบาน้ำพิมายต้องเร่งระบายน้ำ เพื่อรองรับปริมาณน้ำจากอ่างเก็บน้ำลำพระเพลิงที่ล้นสปิลล์เวย์ไหลท่วมตัวเมืองปักธงชัยเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือได้ว่าเป็นมวลน้ำก้อนใหญ่ที่เขื่อนระบายน้ำพิมายต้องเตรียมรับมือในช่วง 3-4 วันนี้

ที่ จ.พิษณุโลก จากสถานการณ์น้ำป่าจากเทือกเขาเพชรบูรณ์หลากท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำที่เป็นนาข้าว และพื้นที่ทางการเกษตร เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะพื้นที่ต.เนินกุ่ม อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก ได้เกิดเหตุผนังกั้นน้ำคลองเนินกุ่มแตกบริเวณหมู่ 1 บ้านท่ายาง ต.เนินกุ่ม ส่งผลให้น้ำไหลทะลัก ท่วมถนนเป็นระยะทางกว้าง ก่อนไหลบ่าท่วมพื้นที่บ้านเรือนประชาชน วัด โรงเรียน และพื้นที่การเกษตร ต่อมาได้เกิดเหตุพนังกั้นน้ำใน หมู่ 10 ต.เนินกุ่ม พังลงเป็นจุดที่ 2 ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนและพื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ล่าสุดหลังจากน้ำลดลงเข้าสู่สภาวะปกติ ทางเทศบาลตำบลเนินกุ่ม พร้อมเจ้าหน้าที่ได้เร่งซ่อมพนังกั้นน้ำทั้ง 2 จุดแล้ว

เช่นเดียวกับที่ จ.ตรัง มีรายงานว่า น้ำป่าจากเทือกเขาบรรทัด รอยต่อระหว่าง จ.ตรัง กับ จ.พัทลุง ถล่มลงมาสู่พื้นที่ด้านล่างของ อ.ย่านตาขาว คือ ต.นาชุมเห็ด ต.โพรงจระเข้ โดยกระแสน้ำทะลักอย่างรุนแรง เนื่องจากฝนที่ตกหนักลงมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวันทำให้ชาวบ้านหลายสิบครอบครัว ต้องอพยพหนีตายไปอยู่ในที่สูง แต่โชคดีที่เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่มีผู้ใด้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

หลังเกิดเหตุนายอำนวย จันทรัฐ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ตรัง ได้เดินทางลงตรวจสอบน้ำตกสายรุ้ง หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังพบว่า ก้อนหินและท่อนไม้ใหญ่น้อย ถูกกะแสน้ำพัดพลงมาเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังไหลแกรงและมีสีแดงขุ่นข้น ทำให้ต้องปะสานไปยังหน่วยงานป่าไม้ และ อบต.พื้นที่ ให้ประกาศงดการลงเล่นน้ำตกสายรุ้งไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

ส่วนสถานการณ์พายุนารีพักกระหน่ำหลายพื้นที่ในต่างประเทศนั้น วันเดียวกันทางการเวียดนามได้ประกาศอพยพประชาชนหลายหมื่นคน เพื่อเตรียมพร้อมก่อนที่พายุนารีจะพัดเข้าสู้พื้นที่ภาคกลางในวันอังคาร โดยก่อนหน้านี้พายุนารีได้พัดถล่มพื้นที่ภาคเหนือฟิลิปปินส์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ และคร่าชีวิตผู้เคราะห์ร้าย 13 ราย

เจ้าหน้าที่ศูนย์พยากรณ์อากาศแห่งชาติเวียดนามเปิดเผยว่า อิทธิพลของพายุนารี อาจทำให้เกิดฝนตกหนักมากถึง 500 มิลลิลิตรในช่วง 2-3 วันข้างหน้า โดยหนังสือพิมพ์ต่วยแจ๋ รายงานว่า ทางการในจังหวัดถื่อ เทียนเว้ และดานัง ตองอพยพประชาชน 66,000 คน ในพื้นที่ชายฝั่งที่มีความเสี่ยงไปยังสถานที่ปลอดภัย และประกาศให้เรือทุกลำหลบเข้าที่กำบัง ให้ประชาชนเตรียมเสบียงให้พร้อม ในกรณีที่เกิดน้ำท่วมระยะยาว

ขณะเดียวกันยอดผู้เสียชีวิตจากพายุไซโคลนไพลินที่พัดถล่มทางภาคตะวันออกอินเดีย เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเป็น 23 คน แม้เป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดเท่าที่อินเดียเคยประสบในรอบ 14 ปี และถือเป็นความสำเร็จของรัฐบาลในการปกป้องชีวิตประชาชนเพื่อจำกัดความสูญเสียให้น้อยที่สุด โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้คนเสียชีวิตน้อยเป็นเพราะทางการอินเดียเตรียมการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงครั้งใหญ่ที่สุดมากถึงเกือบ 1 ล้านคนในรัฐโอริสสาและรัฐอานธรประเทศ

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยอมรับว่าการจัดหาที่อยู่อาศัยหลังจากบ้านเรือนกว่า 2 แสนหลังพังราบหรือได้รับความเสียหายบางส่วนจากอิทธิพลของพายุเป็นภารกิจท้าทายอย่างมาก นอกจากนี้ พายุยังทำให้นาข้าวได้รับความเสียหาย 3.75 ล้านไร่ คิดเป็น 15% ของนาข้าวทั้งหมดในรัฐโอริสสา ปัจจุบันอินเดียเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกและผลผลิตเกือบ 10% มาจากรัฐโอริสสา