ผลสำรวจยอดเด็กไทยติดเกม-เล่นออนไลน์ปี 56 เกือบ 3 ล้านคน ชี้มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ทำร้ายพ่อแม่ ฆ่าตัวตาย เผยมนุษย์เผ่าใหม่ "ชนเผ่าหัวก้ม" ก้มดูแต่มือถือตัวเอง

          เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ที่สยามเซ็นเตอร์นายสุระ เตชะทัต ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นประธานเปิดตัวโครงการ "เด็กไทยกับไอที" และงาน Thailand Game Show BIG Festival ซึ่งจะมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 18-20 ตุลาคมนี้ ณ รอยัลพารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

          นายสุระกล่าวว่า เรื่องเทคโนโลยีการสื่อสารแพร่หลายมากขึ้นทุกเพศทุกวัย มีทั้งด้านดีและไม่ดี แต่ปัญหาด้านไม่ดีมีความรุนแรงมากกว่า ซึ่งการเล่นเกมในทางที่ผิดเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

          นายปรีชา กันธิยะ ปลัด วธ.กล่าวว่าปัจจุบันเป็นโลกของไอที ทุกคนมีโอกาสเข้าถงสื่อได้ง่าย ทำอย่างไรเด็กจะเข้าถึงสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ส่วนการแก้ปัญหาโดยส่วนตัวเห็นว่าต้องเริ่มจากฟังเสียงเด็กก่อน งาน "เด็กไทยกับไอที" ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ผู้ใหญ่จะได้ฟังเด็กแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ รศ.นพ.ชาญวิทย์ พรนภดล ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า จากการจัดทำแบบสำรวจที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดร่วมกับสถาบันสุขภาพจิตและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต เก็บข้อมูลเด็กและเยาวชนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 20,000 คนทั่วประเทศ ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน ที่ผ่านมา พบว่าเยาวชนที่มีอยู่ในปัจจุบัน 18 ล้านคน ขณะนี้มีเด็กไทยติดเกมแล้วมากกว่า 2.7 ล้านคน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก

          โดยพฤติกรรมของเด็กที่ติดเกม คือ 1.จะมีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง จนถึงขั้นทำร้ายพ่อแม่ผู้ปกครอง พยายามฆ่าตัวตายเมื่อถูกห้ามเล่นเกม 2. หนีเรียน เก็บตัวอยู่บ้านเพื่อเล่นเกม ไม่นอนในเวลากลางคืน 3.มีปัญหาการเรียนตกต่ำ ไม่เข้าร่วมกิจกรรม อารมณ์แปรปรวนง่าย ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ถือว่าเข้าข่ายติดเกมรุนแรงต้องเข้าบำบัดรักษา ซึ่งปัจจุบันเด็กที่จะเข้ามารักษามีจำนวนน้อยมาก เฉลี่ยปีละ 30-40 คนเท่านั้น

          รศ.นพ.ชาญวิทย์ กล่าวต่อไปว่าขณะนี้มีพฤติกรรมวัฒนธรรมก้มหน้า คนไม่มองหน้ากัน มองแต่จอมือถือตัวเอง พบเห็นได้ตามท้องถนน ที่สาธารณะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ชมเผ่าหัวก้ม" เป็นอาการอย่างหนึ่งชีวิตเราผูกพันไอทีมากเกินไป เหมือนเป็นอวัยวะที่ 33 ในมุมมองผู้ใหญ่ก็มองว่าน่าจะมีอย่างอื่นทดแทนไอที เราไม่ปฏิเสธประโยชน์ของไอทีแต่สิ่งที่ผุ้ใหญ่ไม่ยอมรับคือ เด็กไม่สามารถแยกแยะข้อดีข้อเสีย และทำให้ไอทีมีผลกระทบต่อชีวิตตัวเอง ดังนั้นการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ดีให้เด็ก ๆ หันเหความสนใจไปสู่สิ่งอื่น ๆ รอบตัวบ้าง