นพ.บุญฤทธิ์ สุขรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวในงานแถลงข่าวเปิดตัว "1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม" ภายในงานมีการเสวนาเรื่อง "ยาทำแท้ง...ทางเลือกหรือทางตันขอการยุติการตั้งครรภ์" จัดโดยสายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อมร่วมกับมูลนิธิแพธทูเฮลท์และมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ว่า จากรายงานการเฝ้าระวังการแท้งในประเทศไทย ล่าสุดเมื่อปี 2554 ผลสำรวจจากโรงพยาบาล 101 แห่ง ใน 13 จังหวัด พบว่า 2 ใน 3 เป็นผู้ป่วยแท้งเอง และ 1 ใน  3 เป็นผู้ป่วยทำแท้ง สำหรับผู้ป่วยทำแท้งเป็นกลุ่มอายุ 15-19 ปีมากที่สุดถึงร้อยละ 28 ยังศึกษาอยู่ ร้อยละ 30.4 และไม่มีรายได้ร้อยละ 45 ในกลุ่มผู้ที่ทำแท้งร้อยละ 71.5 เป็นการตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ และร้อยละ 53.1 ไม่ได้คุมกำเนิด สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะสังคมและครอบครัว สุขภาพและฐานะทางเศรษฐกิจ
          "มีผู้ป่วยมากถึงร้อยละ 20 ทำแท้งด้วยตัวเอง และอีกเกือบร้อยละ 20 ทำแท้งโดยผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์หรือไม่ทราบว่าผู้ทำแท้งคือใคร ส่งผลให้มีผู้ป่วยประมาณร้อยละ 10 ทำแท้งด้วยวิธีการที่ไม่ปลอดภัย เช่น การบีบหน้าท้อง และการใส่ของแข็งหรือฉีดสารต่างๆ ทางช่องคลอด รวมทั้งผู้ป่วยอีกร้อยละ 9 ที่ใช้วิธีการทำแท้งด้วยการขูดมดลูกด้วยเครื่องมือที่ทำจากเหล็ก ส่งผลให้ผู้ป่วยทำแท้งร้อยละ 21.4 มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โดยที่พบมากที่สุดคือ  ตกเลือดมากจน ต้องให้เลือดมากถึงร้อยละ 14.8" นพ.บุญฤทธิ์กล่าว
          ผศ.นพ.ธนพันธ์ ชูบุญ อาจารย์ประจำภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวช วิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า วิธีการยุติการตั้งครรภ์ด้วยการใช้ยา ทำให้การตายและบาดเจ็บลดลง ภาวะแทรกซ้อนน้อยลง แต่ต้องดำเนินการภายใต้การควบคุมของแพทย์และทำในโรงพยาบาล หากแพทย์ไม่ดำเนินการแล้วปล่อยให้ผู้ที่ตั้งครรภ์ไปทำแท้งเถื่อนจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ต้องตัดมดลูก ตัดขา หรือถึงแก่ชีวิต