โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์
มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับ 2 ในผู้หญิงไทย รองจากมะเร็งเต้านม แต่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งในผู้หญิงไทยมากเป็นอันดับ 1 พบในผู้หญิงช่วงอายุ 30-60 ปี จากข้อมูลล่าสุดของสถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติ องค์การอนามัยโลก (GLOBOCAN 2008) พบว่า ในประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ประมาณ 10,000 คนต่อปี และในแต่ละปีมีผู้หญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกประมาณ 5,200 คน หรือเฉลี่ยวันละ 14 คน ทั้งๆ ที่มะเร็งปากมดลูกนั้นเป็นมะเร็งที่ป้องกันได้
สาเหตุของมะเร็งปากมดลูก
จากการศึกษาวิจัยตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 พบว่า มะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุจากไวรัสฮิวแมนแปปิโลมา (HPV) ซึ่งสามารถจำแนกสายพันธุ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงและกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งสายพันธุ์ที่พบได้บ่อยคือ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 พบรวมกันราวร้อยละ 70 ของทั้งหมด
ส่วนใหญ่ของการติดเชื้อ HPV บริเวณอวัยวะเพศจะเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายที่มีเชื้อ HPV ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีอาการทั้งในผู้หญิงและในผู้ชาย
สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยง
-การมีคู่นอนหลายคน
-การมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย
-การตั้งครรภ์หรือมีลูกหลายคน
-การมีประวัติเป็นกามโรค
-การรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน
-การไม่มารับการตรวจคัดโรคมะเร็งปากมดลูก
-สตรีที่มีสามีเป็นมะเร็งขององคชาต
-สตรีที่แต่งงานกับชายที่เคยมีภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูก
-การสูบบุหรี่
-ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
-สตรีที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมต่ำ
-พันธุกรรม
-การขาดสารอาหารบางชนิด
การป้องกัน
การป้องกันทำได้โดยการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ในสตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 25 ปี หรือเริ่มตรวจในสตรีที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงสาเหตุหรือลดปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูกเช่น การละเว้นการมีเพศสัมพันธ์ การใช้ถุงยางอนามัยคุมกำเนิดการซื่อสัตย์ต่อคู่นอน โดยการมีคู่นอนคนเดียว การฉีด HPV vaccine เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อ HPV
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกคือการตรวจหาความผิดปกติในระยะเริ่มแรกของปากมดลูกที่สูตินรีแพทย์ใช้อยู่และเป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน
ในอดีตได้เริ่มมีการตรวจทางเซลล์วิทยาปากมดลูก แต่ก็มีข้อจำกัดหลายประการ ที่สำคัญ คือ ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ยังไม่กล้าตรวจ ด้วยเหตุผลหลัก เขินอาย กลัวเจ็บและไม่มีเวลา หรือในบางกรณีที่เป็นการตรวจก่อนการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกในเด็กหญิงหรือวัยรุ่น ทำให้เกิดความไม่สะดวก ดังนั้นเพื่อเป็นทางเลือก สำหรับการพัฒนาและนำไปสู่การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกการตรวจหา HPV DNA ในน้ำปัสสาวะน่าจะมีความเป็นไปได้
นวัตกรรมการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV จากปัสสาวะเป็นความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงาน คือ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลสมิติเวช ในการทำโครงการวิจัยตรวจหาไวรัสฮิวแมนแปปิโลมา (HPV) ในปัสสาวะ เพื่อพัฒนาเทคนิคที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อ HPV จากสิ่งส่งตรวจอื่นๆ ที่ไม่ใช่เซลล์ที่ป้ายจากปากมดลูก ซึ่งก็คือเซลล์ที่ได้จากน้ำปัสสาวะนั่นเอง ที่สำคัญนวัตกรรมดังกล่าวนี้เป็นความพยายามครั้งแรกของวงการแพทย์ไทยที่จะนำไปสู่ก้าวสำคัญของการลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก
ขั้นตอนการตรวจ
จะทำการเก็บปัสสาวะโดยเก็บปัสสาวะในบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดเชื้อ ให้มีปริมาตรอย่างน้อย 15-30 มิลลิลิตร (ที่เหมาะสมที่สุดคือปัสสาวะในช่วงแรก) หลังจากส่งตัวอย่างให้เจ้าหน้าที่แล้ว จะใช้ระเวลาในการตรวจทางห้องปฏิบัติการประมาณ 4 ชั่วโมง และสามรถแจ้งผลการตรวจได้ภายใน 3 วัน
ในกรณีที่ผลการตรวจเป็น Positive คือพบเชื้อ HPV จากปัสสาวะ ต้องเข้ารับการตรวจเพื่อยืนยันผลโดยการทำ pap smear โดยสูตินรีแพทย์ต่อไป
ส่วนในกรณีที่ผลการตรวจเป็น Negative คือตรวจไม่พบเชื้อ HPV ก็สบายใจได้ แต่ก็ควรทำการตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปี
ข้อดี
-เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้หญิง ในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเบื้องต้น (Pre-screening program) ที่ผู้หญิงที่กลัวและไม่ยอมเข้ารับการตรวจภายในเพื่อเก็บตัวอย่างส่งตรวจ
-มีความสะดวกมากในการเก็บตัวอย่างด้วยตนเอง
การตรวจหาเชื้อไวรัส HPV จากปัสสาวะ ไม่ใช่วิธีที่มาทดแทนการตรวจ pap smear แต่จะมีประโยชน์มากสำหรับกลุ่มผู้หญิงที่กลัวหรืออาย และไม่ยอมเข้ารับการตรวจภายใน วิธีนี้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาดังกล่าว ทำให้ผู้หญิงได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น สามารถลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกลงได้ แต่สำหรับผู้หญิงที่เคยตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยการตรวจ pap smear เป็นประจำทุกปีโดยสูตินรีแพทย์อยู่แล้วนั้น วิธีการนี้คงไม่จำเป็น เพราะคุณได้รับการตรวจที่ดีที่สุดและแม่นยำที่สุดอยู่แล้ว