HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก [ วันที่ 23/08/2556 ]
ไวรัสตับอักเสบบี'จากแม่สู่ลูก'

 ไวรัสตับอับเสบบีเป็นโรคที่สามารถติดต่อได้จากหลายช่องทาง หนึ่งในนั้น คือ ติดต่อจากแม่สู่ลูก
          ไวรัสตับอักเสบบี เป็นการอักเสบของเซลล์ตับ อันเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) การอักเสบจะทำให้เซลล์ตับตาย หากเป็นเรื้อรังจะเกิดพังผืด ตับแข็ง และมะเร็งตับได้ ไวรัสตับอักเสบบีเป็นดีเอ็นเอไวรัสที่ค่อนข้างทนทาน โดยเชื้อนี้จะมีอยู่ในเลือด
          การติดเชื้อที่พบได้บ่อย
          - การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกในขณะคลอดบุตร
          - การติดเชื้อในเด็กเล็ก เนื่องจากการเลี้ยงดูโดยผู้ที่ติดเชื้อ
          - การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือการสัก - การได้รับเลือด - การมีเพศสัมพันธ์ - การติดเชื้อในผู้ที่ทำงานในโรงพยาบาล เนื่องจากถูกเข็มตำ
          ไวรัสตับอักเสบไม่สามารถติดต่อทางอาหารและน้ำดื่ม และไม่ติดต่อกันในที่ทำงานขณะที่ทำงานร่วมกัน
          การฟักตัวของไวรัส
          ใช้เวลาประมาณ 90 วัน แต่สามารถติดต่อได้ตั้งแต่ 30-180 วัน การตรวจเลือดดูว่าติดเชื้อหรือไม่สามารถตรวจพบได้ประมาณ 30-60 วันหลังจากการติดเชื้อ
          อาการของผู้ปวยไวรัสตับอักเสบบี อาจมาพบแพทย์ได้ 3 ระยะ
          1. ตับอักเสบเฉียบพลัน : ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ตามด้วยคลื่นไส้อาเจียน จุกแน่นชายโครงขวา จากตับที่โตแล้ว ปัสสาวะเข้ม ตาเหลืองในผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลัน จากไวรัสตับอักเสบบี ร้อยละ 90-95 จะหายเป็นปกติ พร้อมกับร่างกายที่สร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบี มีเพียงร้อยละ 5-10 เท่านั้น ที่ไม่สามารถกำจัดไวรัสออกไปจากร่างกายได้ และกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง และน้อยกว่าร้อยละ 1 อาจเกิดอาการตับวายได้
          2. ตับอักเสบเรื้อรัง : ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการ อาจตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจร่างกายประจำปี โดยพบความผิดปกติในการทำงานของตับ ผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรัง หากมีการอักเสบและการทำลายเซลล์ตับมากๆ จะทำให้ตับเสื่อมสมรรถภาพลง จนกลายเป็นตับแข็งในที่สุด
          3. ตับแข็ง : ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์จากอาการแทรกซ้อน เช่น เท้าบวม ท้องบวม อาเจียนเป็นเลือด ส่วนลักษณะอาการของผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งคือ ผอม ผิวแห้ง ผมบาง มีลักษณะขาดสารอาหารร่วมด้วย ในระยะยาวอาจกลายเป็นมะเร็งตับ
          การรักษา
          1. ตับอักเสบเฉียบพลัน : ไม่มีการรักษาเฉพาะ โดยทั่วไปผู้ป่วยจะค่อยๆ ดีขึ้นเองอยู่แล้ว ควรพักผ่อนตามสมควร รับประทานอาหารให้เพียงพอ การดื่มน้ำหวาน ปริมาณมากๆ ไม่ได้ช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น แต่น้ำตาลที่ดื่มเข้าไปมากๆ จะเปลี่ยนเป็นไขมันไปสะสมในตับ อาจทำให้ตับโตกว่าปกติได้
          2. ตับอักเสบเรื้อรัง : ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการ จึงสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ การรับประทานยาบำรุงตับหรือวิตามิน ไม่มีหลักฐานว่าช่วยลดการอักเสบของตับ หรือลดปริมาณไวรัส ยาที่ได้รับการพิสูจน์ว่าใช้ได้ผลคือ การรับประทานยาลามิวูดีน (lamivudine) และการใช้อินเตอร์เฟียรอน(interferon) ซึ่งเป็นยาฉีด โดยต้องใช้ติดต่อกันอย่างน้อย 4-6 เดือน จึงได้ประโยชน์ ซึ่งราวร้อยละ 30-40 จะทำให้การอักเสบของตับลดลง พร้อมกับปริมาณของไวรัสลดลงด้วย เนื่องจากอินเตอร์เฟียรอนมีราคาแพง และมีฤทธิ์ข้างเคียงมาก การใช้จึงควรอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ระบบทางเดินอาหารเท่านั้น
          การป้องกัน
          1. ควรปฏิบัติตัวโดยการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
          2. ควรใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์
          3. ก่อนแต่งงานคู่สมรสควรตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
          4. ในการรับเลือด ควรหลีกเลี่ยงการใช้เลือดที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
          5. ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ทั้งที่ทำจากเลือดและผลิตโดยกรรมวิธีพันธุวิศวกรรม ซึ่งตัวหลังได้รับความนิยมมากกว่า
          ปฏิบัติตัวดี หนี ไวรัสตับอักเสบบี
          - หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น เพราะยาเกือบทุกตัวจะถูกทำลายที่ตับ การใช้ยาต่างๆ จึงควรระมัดระวัง และควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยว่า เป็นตับอักเสบ
          - หมั่นตรวจสุขภาพเสมอ อย่างน้อยทุก 4-6 เดือน เพราะบางครั้งจะมีการอักเสบเกิดขึ้นได้ ในผู้ป่วยที่เป็นชายอายุมากหรือมีตับแข็งร่วมด้วย ควรติดตามเป็นระยะๆ เพื่อตรวจหามะเร็งตับระยะเริ่มต้น
          อาหารต้านไวรัสตับอักเสบบี
          - ผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น ส้ม ฝรั่ง มะขามป้อม สตรอเบอร์รี่
          - ปลา เพื่อให้ได้วิตามินบี 12  - ธัญพืชเต็มเมล็ด ผักใบเขียวและผลไม้ เพื่อให้ได้โฟเลต
          สิ่งที่ควรงด
          - ไขมันอิ่มตัวจากเนื้อสัตว์ติดมันและผลิตภัณฑ์นมไขมันครบส่วน
          - น้ำตาลและอาหารหวานจัด - ชาและกาแฟ - เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ - อาหารรสจัด โดยเฉพาะอาหารรสเค็มจัดและอาหารหมักดอง
          - งดสูบบุหรี่ผู้ที่ไม่แน่ใจว่าเคยได้รับการฉีดวัคซีนแล้วหรือไม่ สามารถทำการตรวจเลือดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้อ และตรวจดูว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกันแล้วหรือไม่ ถ้าหากว่ายังไม่มีภูมิคุ้มกันก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันเช่นเดียวกัน
          โรงพยาบาลสมิติเวช


pageview  1205882    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved