HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
หนังสือพิมพ์ข่าวสด [ วันที่ 07/03/2560 ]
'โคทม'จี้ปยป.มีเวทีคู่ขัดแย้งกรธ.ตั้งกฎเหล็กเข้มดูงานตปท.


          'บิ๊กตู่'นัด 39 ผู้ทรงคุณวุฒิป.ย.ป. ถกร่วม 6 รองนายกฯ เล็งมอบหมายงาน ก่อนประชุมมินิคาบิเนต 'โคทม'แนะป.ย.ป.เปิดเวทีนำคู่ขัดแย้งมาเปิดอกคุยพร้อมทำเอ็มโอยูร่วมกัน ชี้อย่าตั้งธงต้องปรองดองก่อนเลือกตั้ง กรธ.เตรียมวาง 2 กฎเหล็กล็อกองค์กรอิสระจัดหลักสูตรอบรม ห้ามใช้งบหลวงดูงานตปท.-ห้ามคนในร่วมวงสร้าง เครือข่าย เด็กปชป.แฉองค์กรอิสระแชมป์จัด ดูงานเมืองนอก ประธานบางคนทัวร์แล้ว 40 ประเทศ จี้'บิ๊กตู่'โละทุกหลักสูตร สกัดสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ กกต.สมชัย แจงวุ่นดูงาน กกต.แดนกิมจิ ฟุ้งองค์กรจัดการเลือกตั้งโลกพร้อมหนุนกกต.ไทย ด้านสปน.อ้างไปสิงคโปร์ หวังพัฒนาบุคลากรตามยุทธศาสตร์ 20 ปี 'เรืองไกร'ยื่นป.ป.ช.สอบ 2 รมต.ปมเป็นหุ้นส่วนที่ดินเขาใหญ่ 'มาร์ค'หนุนร่างพ.ร.บ. คดีอาญานักการเมือง ช่วยแก้ทุจริต
          'บิ๊กตู่'ขนคณะดูงานสธ.ปราจีนบุรี
          เมื่อวันที่ 5 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการลงพื้นที่อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมคณะ ในวันที่ 9 มี.ค.นี้ว่า นายกฯพร้อมคณะจะไปดูโครงการหมอครอบครัวของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมตรวจเยี่ยมการบริหารจัดการน้ำของจ.ปราจีนฯ และพบปะประชาชน หัวหน้าส่วนราชการ ที่โรงเรียนปราจิณราษฎรอำรุง และไปเยี่ยมชมการดำเนินงานของ ร.พ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร และนิทรรศการเมืองสมุนไพร ก่อนจะเดินทางกลับกทม. ซึ่งการปฏิบัติราชการที่จ.ปราจีนบุรี เน้นงานด้านสาธารณสุข และผลักดันการนำสมุนไพรไทยไปต่อยอดเป็นยารักษาโรคให้กับประชาชน รวมถึงเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อไป
          วันนักข่าว-ขอสื่อร่วมสร้างสังคม
          พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ว่า เนื่องในวันที่ 5 มี.ค.เป็นวันนักข่าว ขอให้มีความสุข เจริญเติบโต ร่วมสร้างสรรค์สังคมไทย เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ด้วยสติปัญญาและเชื่อว่าสื่อดีๆ มีเยอะ
          เชิญ39กุนซือปยป.ถกนัดแรก
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 6 มี.ค. เวลา 09.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับรองนายกฯ ทั้ง 6 คน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 39 คน ซึ่งถือเป็นการประชุมครั้งแรก หลังลงนามคำสั่งแต่งตั้งเมื่อวันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อมอบหมายและชี้แจงแนวทางการทำงานของป.ย.ป. ก่อนปฏิบัติงาน ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
          ทั้งนี้ เมื่อจบการประชุม นายกฯจะเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ หรือมินิคาบิเนต ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ รับผิดชอบ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า
          โคทมแนะปยป.เปิดเวทีคู่ขัดแย้ง
          นายโคทม อารียา ผอ.ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยามหิดล กล่าวถึงแนวทางสร้างความปรองดองของ ป.ย.ป. ที่นอกจากรับฟังความเห็นจากนักการเมืองแล้ว ยังให้ทหาร กระทรวงมหาดไทยลงพื้นที่พูดคุยกับประชาชนว่า เดินมาถูกทางแล้ว แต่การจัดเวทีรับฟังความเห็นอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ โดยหลังจากประมวลความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากฝ่ายต่างๆ แล้ว สิ่งที่ต้องดำเนินการคือกลไกและกระบวนการพูดคุยระหว่างผู้ขัดแย้งหรือผู้ที่มีเรื่องค้างคาใจกันโดยตรง จึงจะคลี่คลายบรรยากาศความขัดแย้งได้
          นายโคทมกล่าวว่า หากไม่พูดคุยกัน จะไม่สามารถทำให้การปรองดองเกิดขึ้นได้ ดังนั้น คนที่มีอำนาจขณะนี้ต้องจัดเวทีให้พูดคุยกันระหว่างคู่ขัดแย้ง และอยากให้ฝ่ายความมั่นคงมาร่วมเวทีกับฝ่ายการเมืองต่างๆ ภายใต้กฎกติกาที่ว่า ใครพูด ฝ่ายอื่นต้องตั้งใจฟังและไต่ตรองก่อนจะอธิบายมุมมองของตัวเองให้เข้าใจและนำไปสู่ข้อตกลงที่เป็นเนื้อหาหรือกติกาที่ต้องวางร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาในอนาคต โดยทำข้อตกลงหรือเอ็มโอยู เชื่อว่าหากผู้มีอำนาจดำเนินการตามแนวทางนี้ มีความหวังที่จะเห็นความปรองดองก่อนเลือกตั้งได้
          อย่าตั้งธงปรองดองก่อนเลือกตั้ง
          "การที่เราไม่คุยกันจะทำให้ความบาดหมาง ดำรงอยู่ ความปรองดองเกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งเรา จะคุยกับคนที่รับฟังความเห็นอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องให้คุยกับคนที่ทำอะไรให้เราเจ็บใจ ไม่พอใจ ให้เขาทราบถึงความไม่พอใจ เจ็บใจของเราและฟังเขาด้วย ถ้ามีกระบวนการสื่อ 2 ทางเช่นนี้ให้กว้างขวางทั่วถึง ดังนั้น อาจจะต้องเปลี่ยนป.ย.ป. จากคนรับฟัง มาเป็นเวทีอำนวยความสะดวกให้พูดคุยกันตามกติกาที่จะตกลงกัน" นายโคทมกล่าว
          นายโคทมกล่าวว่า ทั้งนี้ ไม่อยากให้ตั้งธงว่าต้องปรองดองให้ได้ก่อนเลือกตั้ง หาก คิดเช่นนี้ก็ไม่ทราบว่าจะได้เลือกตั้งเมื่อไร แต่อยากให้เข้าใจตรงกันว่าปรองดองคืออะไร และทุกฝ่ายยอมรับว่าเรื่องความปรองดอง เป็นสิ่งจำเป็นและพร้อมร่วมมือกัน ถือเป็นจุด เริ่มต้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตาม อยากให้ทำใจว่าปรองดองได้บ้างก็ถือว่าดี และดีกว่าไม่ปรองดองเลย
          'อ๋อย'ชี้ปรองดองสำเร็จยาก
          นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกฯ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ระบุการปรองดองจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลหน้านั้น แสดงว่าเป้าหมายการปรองดองครั้งนี้ยังไม่ชัดเจน ถ้าจะเกิดการปรองดองหมายถึงมีการสร้างระบบกติการองรับความขัดแย้งต่างๆ ได้ รวมถึงจัดการรัฐบาลในอนาคตเมื่อเป็นปัญหา เช่น รัฐบาลลุแก่อำนาจ ทุจริต ระบบที่สร้างไว้สามารถจัดการรัฐบาลนั้นได้ และสังคมอยู่ต่อไปได้ ไม่ใช่มาสร้างเงื่อนไขกันแต่ต้นว่าจะปรองดองได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลหน้า ซึ่งนั้นหมายความว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้ไม่สำเร็จแน่แล้ว
          นายจาตุรนต์กล่าวว่า การที่พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์ ในชุดคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ได้ประมวลสรุปความเห็นพรรคการเมืองที่ไปแสดงความเห็นเป็นระยะ โดยระบุว่าหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่าปัญหาความขัดแย้งเกิดจากการเมือง หมายถึงพรรคและนักการเมือง เป็นการด่วนสรุปที่คับแคบ เลือกพูดเฉพาะส่วนที่เป็นปัญหากับคสช.และกระทรวงกลาโหม ซึ่งสะท้อนว่า การกำหนดใครเป็นผู้รับฟังและวิเคราะห์ความเห็นต่างๆ ไม่ถูกต้อง กระบวนการทำเรื่องปรองดองมีจุดอ่อนมากเกินไป นอกจากไม่กำหนดคนที่เป็นกลาง มีความรู้ มีความเชี่ยวชาญมาเป็นผู้รับฟังแล้ว ยังไม่ได้กำหนดให้ถูกต้องว่าใครคือคู่ขัดแย้ง ไม่มีการพูดถึงปัญหาในอดีตอย่างเพียงพอ ดังนั้น ถ้ากระบวนการที่ทำอยู่ไม่มีการปรับปรุงอย่างจริงจัง การสร้างความปรองดองอาจไม่เกิดผลใดๆ
          กรธ.ทบทวนปมโละปปช.จังหวัด
          นายอมร วาณิชวิวัฒน์ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า จากการเชิญคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาพูดคุยถึงการร่างพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยป.ป.ช.ทั้ง 2 ครั้ง ทำให้ทราบปัญหาในการทำงานของป.ป.ช. จุดด้อยต่างๆ หลายเรื่อง แต่กรธ.ยังไม่ตัดสินว่าจะเขียนข้อกำหนดอะไรลงไปในร่างกฎหมายบ้าง เพราะต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน พรรคการเมือง รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนว่าอยากให้เราบัญญัติอะไรบ้าง เช่น การตรวจสอบการทำงาน ของป.ป.ช.จะต้องตั้งหน่วยงานขึ้นมาหรือจะให้ใครเป็นผู้ตรวจสอบได้บ้าง รวมถึงอยากให้ป.ป.ช.ทำคดีต่างๆ ให้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีแนวคิดว่าบางคดีอาจจะไม่ต้องถึงมือป.ป.ช. แต่ให้หน่วยงานต้นสังกัดของผู้ถูกร้องเรียน หรือหน่วยงานอื่นๆ รับผิดชอบแทน เพื่อไม่ให้มีคดีเข้ามามากเกินไป
          นายอมรกล่าวว่า ส่วนกรณีป.ป.ช.จังหวัด ที่ขั้นแรกกรธ.อยากให้ยุบทิ้งเพราะเห็นว่าที่ผ่านมามีปัญหามาก แต่ทางป.ป.ช.ยังอยากให้คงไว้ ซึ่งตอนนี้เราได้ให้เขาไปศึกษารายละเอียดข้อดี ข้อด้อยรวมทั้งความคุ้มค่าอย่างละเอียดและส่งรายงานมาให้กับกรธ.ดูอีกครั้ง
          ล็อกองค์กรอิสระจัดอบรมหลักสูตร
          นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรธ. กล่าวถึงการพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดหลักสูตรอบรมพิเศษ ขององค์กรอิสระว่า แรกเริ่ม กรธ.มีความคิดจะเขียนในกฎหมายลูก ห้ามองค์กรอิสระจัดหลักสูตรอบรมพิเศษ เพื่อลบข้อครหาเรื่อง การสร้างคอนเน็กชั่น และการใช้เงินไปดูงานต่างประเทศ แต่จากการรับฟังความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ชี้แจงต่อกรธ.ว่า การดำเนินงานหลายครั้งต้องใช้ความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐ องค์กรเอกชน และประชาชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ จึงต้องจัดอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในงาน ของตนเอง จะได้มีเพื่อนช่วยทำงานบ้าง
          นายชาติชายกล่าวว่า จึงทำให้หลักการเบื้องต้นของกรธ.ในตอนนี้ มองว่าการจัดอบรมหลักสูตรพิเศษขององค์กรอิสระ ทำได้แต่ต้องอยู่บนเงื่อนไข 2 ประการ คือ 1.ห้ามนำเงินงบประมาณที่เป็นเงินอุดหนุนมาใช้ ในหลักสูตร หรือการดูงานต่างประเทศ เช่น กกต. ห้ามใช้เงินกองทุนพัฒนาการเมืองไปดูงานตามหลักสูตรอบรมของตัวเอง แต่หากจะเก็บค่าอบรมเองเพื่อใช้ดูงานก็ทำได้ 2.ห้ามบุคลากรในองค์กรอิสระ ไปร่วมเรียนหรืออบรมในหลักสูตรที่ตนจัดตั้งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาเรื่องการสร้างเครือข่าย ทั้งนี้ หลักการดังกล่าว กรธ.ยังไม่ได้นำไปเขียนไว้ในกฎหมายลูก แต่กรธ.จะนำมาพิจารณาอีกครั้ง เมื่อถึงเวลาที่ต้องส่งร่างกฎหมายลูกให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา
          ปชป.จี้โละหลักสูตรดูงานตปท.
          นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เอาจริงเอาจังและใส่ใจกับการไปศึกษาดูงานต่างประเทศของหน่วยงานราชการและองค์กรอิสระ เนื่องจากเคยออกคำสั่งวันที่ 3 มี.ค. 2558 ให้งดเว้นการไปต่างประเทศของข้าราชการทุกหน่วยเพื่อประหยัดงบประมาณ แต่พอถึงเดือนก.ย.ของทุกปี จะนำข้าราชการที่จะเกษียณไปดูงาน ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นประโยชน์กับข้าราชการชาติไหน แม้จะน้อยลงไปบ้างหลังมีคำสั่งนายกฯ แต่หน่วยงานที่ไม่ลดลงเลยคือองค์กรอิสระ จึงอยากให้หาทางแก้ไขอย่างจริงจัง
          นายวิลาศกล่าวว่า ตนเห็นว่ามี 2 อย่างที่ควรยกเลิกโดยเด็ดขาดคือ หลักสูตรพิเศษ ขององค์กรอิสระและหลักสูตรพิเศษที่หน่วยงานต่างๆ จัดอบรม ไม่ควรให้ไปต่างประเทศเลย เพราะการจัดอบรมหลักสูตรพิเศษก็เพื่อให้มีความรู้ ไม่จำเป็นต้องอบรมเป็นคอร์ส ไปต่างประเทศ แต่มีการใช้การไปต่างประเทศเป็นตัวชูโรง บางหลักสูตรไป 2-3 ประเทศ จึงควรห้ามโดยเด็ดขาดโดยเฉพาะหลักสูตรพิเศษขององค์กรอิสระควรยกเลิกให้หมด อาจให้เขียนในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าห้ามไม่ให้องค์กรอิสระจัดหลักสูตรพิเศษ เพราะเป็นองค์กรที่ให้คุณให้โทษ
          ชูศาลปกครองต้นแบบ
          "มีหน่วยงานเดียวที่เป็นองค์กรอิสระคือศาลปกครองสูงสุด ต้องขอบคุณนายปิยะ ปะตังทา ประธานศาลปกครองสูงสุด ที่ปิดหลักสูตรของศาลปกครองสูงสุด โดยยืนยันว่าในยุคที่เป็นประธานจะไม่ให้มีการอบรมหลักสูตรพิเศษเพราะคงเข้าใจว่าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ผมคิดว่าองค์กรอิสระควรจะอิสระเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่ แต่ระเบียบอื่นๆ ควรใช้เหมือนหน่วยราชการอื่น ไม่ใช่มีอำนาจโอนงบกันได้เอง จึงฝากถึงนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้ตรวจสอบว่าองค์กรอิสระไปต่างประเทศอย่างไรบ้าง ผมตรวจสอบพบว่าไปต่างประเทศบ้าเลือดมาก มี 2 องค์กร เอาช่วงเฉพาะที่คนๆ หนึ่งเป็นประธานไปมาแล้วกว่า 40 ประเทศ บางประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ก็ไปดูเกี่ยวกับการเลือกตั้ง บางประเทศไม่มีคณะกรรมการปราบปรามทุจริตก็ไปดู บางประเทศไม่มีศาลรัฐธรรมนูญก็ไปดูงานประเทศนั้น" นายวิลาศกล่าว
          แฉ2องค์กรอิสระขอไปดูงานภูฏาน
          นายวิลาศกล่าวว่า วันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา ครม.มีมติว่าช่วงเตรียมเข้าสู่การปฏิรูปและจำเป็นต้องพัฒนาบุคลากรภาครัฐ ขอให้ หน่วยงานรัฐที่จัดหลักสูตรฝึกอบรมต่างๆ โดยใช้งบประมาณของทางราชการ ชะลอการรับภาคเอกชนและข้าราชการที่เกษียณไว้ก่อน แต่หลังจากมีมติครม.ไปแล้ว องค์กรอิสระยังคงจัดหลักสูตรเหมือนเดิม โดยมีเอกชนเรียนเพิ่มขึ้นด้วยเพราะเวลาไปต่างประเทศจะเก็บจากคนเหล่านี้ให้จ่ายเพิ่มขึ้น ส่วนเอกชนก็คิดแต่สร้างเครือข่ายอย่างเดียว จึงอยากให้ไปตรวจสอบเพราะไม่ได้ปฏิบัติตามมติครม. โดยควรบังคับกับองค์กรอิสระด้วย เพราะขณะนี้องค์กรอิสระใช้วิธีไม่เปิดรายชื่อผู้เรียน จะไปต่างประเทศก็รู้กันเฉพาะกลุ่ม ขณะที่การจัดโปรแกรมใช้วิธีให้ต่างประเทศทำหนังสือเชิญมา
          "ที่น่าเกลียดที่สุดคือ 2 องค์กรอิสระทำหนังสือถึงประเทศภูฏานให้ทำหนังสือเชิญไปดูงาน เขาตอบมาว่าไม่ต้องเชิญพวกคุณก็ไปอยู่แล้ว จึงไม่ทราบว่าคนที่ทำหนังสือไปจะละอายบ้างหรือไม่ ตอนนี้แต่ละหน่วยงานพยายามจัดหลักสูตรพิเศษเพิ่มขึ้น ทำให้มีการวิ่งเต้นเพราะข้าราชการเรียนฟรี มีอีเวนต์ มีผลประโยชน์ จึงเพิ่มไปเรื่อย แม้แต่กทม.ยังมีหลักสูตรมหานคร โดยเฉพาะกระทรวงการคลังจัดเกือบทุกกรม" นายวิลาศ กล่าว
          'สมชัย'ร่ายยาวคุ้มค่าดูงานแดนโสม
          นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารกลาง โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงการเดินทางไปศึกษาดูงานในหลักสูตรการบริหารงานสำหรับผู้บริหารระดับสูง (กบส.) รุ่นที่ 2 ที่สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 1-5 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า ตนได้คุยกับกกต.เกาหลีใต้ว่า ขจัดการซื้อเสียงได้อย่างไร ทั้งที่เมื่อ 50-60 ปีก่อน สภาพการเมืองการหาเสียงเต็มไปด้วยการซื้อเสียงและใช้อำนาจอิทธิพลต่างๆ ได้คำตอบคือ 1.มีการแก้กฎหมายเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำผิดใช้เงินซื้อเสียง ทั้งโทษอาญาติดคุก และโทษปรับที่รุนแรง 2.ชาวบ้านที่รับเงิน หรือรับสิ่งของ หากถูกจับได้ ไม่มีโทษอาญา แต่มีโทษปรับเป็นมูลค่าเงิน 10 เท่า 3.กกต.เอาจริงเอาจังกับการบังคับใช้กฎหมาย ไม่เกรงใจพรรคการเมืองใด แม้เป็นพรรครัฐบาล 4.ประชาชน มีความตื่นตัวใช้สิทธิให้ได้คนดีมาปกครองบ้านเมือง จึงเชื่อมโยงได้ว่าการเลือกตั้งที่สุจริตนำไปสู่การเมืองคุณภาพและบ้านเมืองเจริญก้าวหน้า
          นายสมชัยระบุว่า คณะของตนยังไปคุยกับสถาบันการให้การศึกษาด้านการเมืองแก่ประชาชนของเกาหลีที่ตั้งอยู่ในกรุงโซล ซึ่งสังกัดกกต.เกาหลี มีกลุ่มเป้าหมายให้การศึกษาผู้มีสิทธิออกเสียง ผู้มีสิทธิออกเสียง ในอนาคต นักการเมือง พรรคการเมือง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยมีหลักสูตรอบรมต่างๆ ร่วมร้อยหลักสูตร มีคนผ่านกระบวนการอบรมกว่าหมื่นคนในแต่ ละปี การดำเนินการที่ประสบความสำเร็จนี้เนื่องจากการให้ความรู้ทางการเมืองได้อยู่ในกฎหมายกำหนด เป็นหน้าที่หนึ่งของ กกต.เกาหลี และองค์กรดังกล่าวได้รับงบสนับสนุนจากรัฐ เฉพาะในกิจกรรมดำเนินการต่างๆ ปีละ 170 ล้านบาท ไม่รวมงบก่อสร้าง
          ฟุ้งองค์กรโลกพร้อมหนุนกกต.
          นายสมชัยระบุว่า ตนยังไปคุยกับสมาคมองค์กรจัดการเลือกตั้งโลก ที่ตั้งอยู่เมือง อินชอน เกาหลี องค์กรนี้มีบทบาทส่งเสริมการจัดการเลือกตั้งของประเทศสมาชิกให้สุจริต เที่ยงธรรม และมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมา ได้เข้าไปช่วยหลายประเทศ นำเทคโนโลยีไปใช้ในการเลือกตั้ง เช่นที่เอกวาดอร์ คีร์กีซสถาน พร้อมทั้งเป็นผู้สนับสนุนงบของอาสาสมัครสังเกตการณ์นานาชาติ ในการเข้าไปสังเกตการณ์การเลือกตั้งในประเทศต่างๆ พร้อมทั้งให้คำมั่นว่า ยินดีสนับสนุนและ ช่วยเหลือ กกต.ไทย ทั้งด้านการอบรม และอุปกรณ์ต่างๆ นอกจากนั้นยังพบกับเอกอัคร ราชทูตไทยของเกาหลี ทำให้ทราบปัญหาการใช้สิทธิของคนไทยในเกาหลี อาทิ คนไทยในเกาหลีมีนับแสนคน แต่เป็นแรงงานที่ถูกกฎหมายเพียง 2 หมื่นเศษ ที่เหลือเป็นแรงงานผิดกฎหมาย กลุ่มคนเหล่านี้จึงไม่ประสงค์แสดงตน กลัวว่าการมาใช้สิทธิจะถูกทางการเกาหลีจับส่งกลับไทย
          "ผมได้ชี้แจงถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้าของคนไทยใน ต่างประเทศ คือ 1.มี 3 ประเทศนำร่องที่เลือกตั้งทางอินเตอร์เน็ตได้คือ นอร์เวย์ จอร์แดน และกรุงโอซาก้า ญี่ปุ่น 2.จะยกเลิกการส่งบัตรเลือกตั้งกลับไทย แต่ให้นับคะแนนที่สถานทูต ต่อหน้าคนไทยที่เป็นสักขีพยาน 3.การนับคะแนน ต้องนับภายใน 24 ชั่วโมง หลังเวลาปิดหีบที่ประเทศไทย และ 4.คนไทยใน ต่างประเทศ สามารถรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับ ผู้สมัครและพรรคได้ผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือ ที่กกต.จัดทำขึ้น" นายสมชัยระบุ
          สปน.แจงวุ่น-ดูงานสิงคโปร์
          สำนักตรวจราชการสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ชี้แจงกรณีเฟซบุ๊กปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้านต่อต้านคอร์รัปชั่น แห่งประเทศไทย และหนังสือพิมพ์บางฉบับ นำเสนอประเด็น "หน่วยงานใต้จมูกนายกฯ ดูงานตรวจราชการที่ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ ประเทศสิงคโปร์"ว่า โครงการดังกล่าวเป็นร่วมมือของสปน. ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) ซึ่งมีผู้เข้าร่วมจากต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ เข้าอบรมหลักสูตรผู้ช่วยผู้ตรวจราชการมืออาชีพ ปีงบประมาณ 2560 วันที่ 12-15 ม.ค. โดยมีหน่วยงานการบริหารจัดการองค์ความรู้และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของสิงคโปร์ ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านการพัฒนาบุคลากรภาครัฐและทรัพยากรมนุษย์ของไทย
          ผลการดูงานครั้งนี้ ได้ศึกษาเปรียบเทียบระบบการตรวจราชการและระบบการบริหารจัดการ เพื่อนำแนวคิดในการบริหารจัดการของประเทศต้นแบบมาเทียบเคียงกับไทย และนำทักษะต่างๆที่เกี่ยวกับการตรวจราชการของประเทศต้นแบบมาปรับใช้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สปน.ให้ความสำคัญต่อการศึกษาดูงานเพื่อศึกษาสภาพแวดล้อมที่จะนำมาศึกษาวิเคราะห์ เพื่อพัฒนาทรัพยากรบุคคลตามยุทธศาสตร์ 20 ปี การวางผังเมือง การจัดการเรื่องการจราจร ซึ่งประเทศไทยประสบปัญหาอยู่ ตลอดจนเรื่องขยะที่จะนำมาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้า สำหรับงบประมาณ ที่เหลือจ่าย หากสปน.ยังไม่ได้นำไปใช้ในภารกิจทางราชการ ตามระบบงบประมาณจะต้องส่งคืนคลังต่อไป
          พท.เหน็บคสช.ใหญ่คับคลอง
          นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเครือข่ายคสช.ตอบโต้ผู้ที่วิจารณ์ว่ารัฐบาลคสช.ทำการปฏิรูปไม่คืบหน้า และประเทศเสียโอกาสจากคำพูดที่ปราศจากการลงมือทำ ว่า ประเทศคงไม่ได้เสียโอกาสเพียงเพราะคำพูดที่ไม่ลงมือทำเพียงอย่างเดียว และถ้าเป็นเช่นนั้นจะย้อนเข้าตัว รัฐบาลคสช. เพราะตั้งแต่ทำรัฐประหารวันที่ 22 พ.ค. 2557 มีผลงานคือปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร(ไอโอ) ควบคุมทิศทางข้อมูลข่าวสารแบบสื่อสารฝ่ายเดียวโดยบริหารจัดการสื่อได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ความสามารถด้านอื่นไม่เด่น ที่เห็นคือการพูดโดยปราศจากการปฏิบัติที่สัมฤทธิผลโดยเฉพาะการปฏิรูปประเทศ ถามว่าแบบนี้ประเทศเสียโอกาสหรือไม่
          นายอนุสรณ์กล่าวว่า รัฐบาลคสช.ต้องไปดูเรื่องการลิดรอนสิทธิ เสรีภาพ คุกคามสิทธิมนุษยชน ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และจนถึงขณะนี้ประชาชนยังไม่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่และมีวันไหน ทั้งที่ควรจะได้รู้โรดแม็ปที่ไม่ใช่โรดแม็ปซึ่งตัดสินใจตามสถานการณ์ของผู้นำคนเดียว รัฐบาลคสช.อย่าทำตัวเป็นเรือใหญ่คับคลองที่ใครวิจารณ์ไม่ได้ เพราะประชาชนดูอยู่ ทั้งการนำมาตรา 44 มาแก้ปัญหาการเมือง ปัญหาภาคใต้ หากรัฐบาลทหารแก้ไม่ได้ รัฐบาลอื่นยิ่งทำยาก ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง เช่น หมดมาตรการช็อปช่วยห้าง ต้องดูต่อว่าจะมีมาตการใดที่ก่อประโยชน์ตกถึงมือประชาชนจริงบ้าง แม้วันนี้การตรวจสอบพรรคพวกเครือข่ายคสช.อาจทำได้ยาก แต่ไม่ได้แปลว่าเมื่อลงจากอำนาจจะตรวจสอบไม่ได้ ดังนั้น ทำอะไรต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้
          ยื่นปปช.สอบ 2 รมต.หุ้นเขาใหญ่
          นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าหลังยื่นหนังสือถึงนายกฯ พิจารณาปรับนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมช.พาณิชย์ ออกจากตำแหน่งเนื่องจากกระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 มาตรา 4 ประกอบมาตรา 11 ที่ห้ามรัฐมนตรีเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญ แต่ทั้ง 2 คน เป็นหุ้นส่วนในการทำธุรกิจที่ดินเขาใหญ่ว่า นายสนธิรัตน์ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าได้ทำทุกอย่างถูกต้อง ไม่มีอะไรอธิบาย ขณะที่นายกฯระบุว่าทราบเรื่องที่ถูกร้องแล้ว แต่เห็นว่าการแต่งตั้งรัฐมนตรี มีการตรวจสอบมาดีแล้ว และสอบถามรัฐมนตรีทั้ง 2 คน ก็ยินดีให้ตรวจสอบตามคำร้องต่อไป
          นายเรืองไกรกล่าวว่า เมื่อนายกฯ ยืนยันว่ามีการตรวจสอบคุณสมบัติมาแล้วโดยถูกต้อง ตนจะส่งเอกสารราชการ ประกอบด้วย ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา หนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากร คำพิพากษาศาลฎีกา และเอกสารกระทรวงการคลังที่เสนอ ครม. ร้องต่อป.ป.ช.เพื่อตรวจสอบการกระทำของรัฐมนตรีทั้งสองเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ ในวันที่ 6 มี.ค.เวลา 10.00 น.
          ปชป.หนุนกม.อาญานักการเมือง
          นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่จะไม่นับ อายุความกรณีผู้กระทำผิดหลบหนีว่า ขอสนับสนุนเต็มที่ในการใช้กฎหมายฉบับนี้ดำเนินคดีกับนักการเมืองที่ทุจริต ซึ่งการไม่นับอายุความกรณีมีการหลบหนีไม่ไปศาล จะเป็นเครื่องมือทำให้ดำเนินการกับผู้ทุจริตได้ แต่ต้องมีเครื่องมือคุ้มครองพยาน การดูแลรักษาพยานหลักฐานให้คงอยู่ด้วย ส่วน ข้อเสนอของกรธ.ให้พิจารณาคดีลับหลังได้ กรณีผู้ต้องหาไม่ไปศาลเลยนั้น จะต้องยึดหลักความเป็นธรรม และคงกำหนดเงื่อนไขว่ากรณีไหนทำได้ เพราะที่ผ่านมามีปัญหาหนีคดี และประวิงเวลา
          แนะกรธ.ติดดาบเพิ่มแก้ทุจริต
          นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงศาลฎีกาจัดทำร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้กรธ.ว่า เป็นเรื่องดี ทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น เพื่อสนองตอบต่อการป้องกันปราบปรามการทุจริตให้ได้ผลจริงจังเพิ่มขึ้น และยังแก้ปัญหาการหลบหนีคดีที่เกิดขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะการไม่ให้นับอายุความถ้าผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยหลบหนีคดี และยื่นอุทธรณ์ไม่ได้ถ้ายังหลบหนีคดีอยู่
          นายองอาจกล่าวว่า การปรับปรุงเพิ่มเติมครั้งนี้ อาจช่วยทำให้ผู้คิดจะทุจริตมีความยับยั้งชั่งใจมากขึ้น ว่าถ้าถูกจับได้เป็นคดี ขึ้นมา จะไม่สามารถหนีไปกบดานต่างประเทศจนคดีหมดอายุความแล้วกลับมาเสวยสุขบนทรัพย์สินที่ทุจริตไปเก็บไว้ได้อีก ซึ่งน่าจะป้องกันการทุจริตได้อีกทางหนึ่ง และขอฝากให้ กรธ.พิจารณาว่าจะมีกลไกใดเพิ่มเติมในกฎหมายเพื่อให้การพิจารณาลงโทษผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริตเป็นไปด้วยความรวดเร็วและเที่ยงธรรม ถ้าพิจารณาคดีทุจริตด้วยความรวดเร็ว เที่ยงธรรม เอาคนผิดติดคุกได้ภายในเวลาไม่นาน น่าจะทำให้เกิดความกลัวต่อการทำผิดได้
          กต.โต้สหรัฐมองแค่มุมตัวเอง
          กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ต่อกรณีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ออกรายงานการปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศต่างๆ ประจำปี 2559 ว่า รายงานดังกล่าวได้ระบุถึงการปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนของไทย ทั้งในส่วนของข้อจำกัดบางอย่าง เช่น เสรีภาพในการชุมนุมและการแสดงออกทางการเมือง สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงมีประเด็นความก้าวหน้าด้วยเช่นกัน อาทิ การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ การแก้ปัญหาค้ามนุษย์ การยกเลิกการนำตัวผู้ต้องสงสัยที่เป็นพลเรือนขึ้นศาลทหาร ทั้งนี้ รายงานฉบับดังกล่าวเป็นมุมมองของสหรัฐเท่านั้น และจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูล ข้อกังวล กรณีศึกษาที่ไม่เปิดเผยและไม่สามารถตรวจสอบได้
          ยันรัฐบาลไทยใช้อำนาจตามรธน.
          กระทรวงการต่างประเทศขอชี้แจงว่า รัฐบาลไทยเดินหน้าตามโรดแม็ประยะที่ 2 ซึ่งการออกกฎหมายและคำสั่งตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม และแก้ปัญหาที่สั่งสมมานานซึ่งไม่สามารถแก้ได้ด้วยการใช้กฎหมายปกติ แต่รัฐบาลใช้อำนาจดังกล่าวเท่าที่จำเป็นและระมัดระวัง คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศพร้อมร่วมมือกับสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย เพื่อตรวจสอบและเกิดความกระจ่างในข้อมูลและความเข้าใจในการปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของไทยที่ถูกต้องชัดเจนต่อไป


pageview  1205115    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved