ไม่เพียงคดีอาชญากรรมที่คนร้ายกระทำต่อเด็ก สะเทือนใจคนในสังคมมาหลายครั้งบรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองที่ไม่ละเว้นเด็ก อย่างกรณีลูกนายกรัฐมนตรีถูกคุกคามด้วยวาจาและกิริยาอาการ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่บ่งบอกถึงความผิดปกติในสังคม
ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก จากมติของสหประชาชาติ มีเนื้อความหนึ่งว่า เด็กจะไม่ถูกแทรกแซงโดยพลการ หรือโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในความเป็นส่วนตัว ครอบครัว บ้าน หรือหนังสือโต้ตอบ รวมทั้งจะไม่ถูกกระทำโดยมิชอบต่อเกียรติ และชื่อเสียง
และเด็กมีสิทธิได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายจากการแทรกแซง หรือการกระทำ ดังกล่าว
หลักการพื้นฐานนี้ จำเป็นที่ผู้ใหญ่ทุกคนต้องรับรู้และปฏิบัติตาม
มีข้อสังเกตว่า เด็กที่เป็นลูกหลานของแกนนำกลุ่มความขัดแย้ง ไม่เคยถูกพาดพิงชัดเจนเท่ากับสถานการณ์ในขณะนี้
ดังนั้น นอกจากการเคารพสิทธิเด็ก อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของโลก คนในสังคมต้องตระหนักได้ว่าเด็กจะต้องถูกกันออกจากความขัดแย้ง ไม่ว่าเป็นลูกหลานใคร หรือตระกูลใด
เมื่อเป็นผู้ฟัง หากไม่รู้สึกถึงความผิดปกติในเนื้อหาคุกคามเด็ก หรือร่วมสนับสนุนไปกับผู้พูดด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าวิตกอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับร่วมกันละเมิดสิทธิเด็ก
ในขณะที่ผู้ทำงานด้านสิทธิเด็กต้องยึดถือหลักการปกป้องเด็กอย่างชัดเจน ไม่เอนเอียงด้วยปัจจัยทางการเมือง
ไม่เช่นนั้นการปกป้องสิทธิเด็กจะถูกบิดเบือนไปเป็นประเด็นการเมืองได้อีก
พ.ญ.พรรณพิมล วิปุลากร โฆษกกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เคยกล่าวเตือนสติว่า ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ตามต้องมีขอบเขตไม่รบกวนสิทธิของเด็ก ต้องให้เกียรติความเป็นเด็ก และต้องยกไว้ไม่ให้เกี่ยวกับการเมือง
การแสดงออกทางการเมืองนั้นมีหลายวิธี แต่ต้องไม่กระทำต่อเด็ก
จากข้อคิดนี้กล่าวได้ว่า ถึงสถานการณ์ทางการเมืองตึงเครียดและขัดแย้งอย่างไร ก็ไม่ใช่เงื่อนไขที่จะยกเว้นให้ละเมิดสิทธิเด็กได้
หากคนในสังคมไม่เข้าใจถึงความสำคัญของสิทธิเด็กอย่างถ่องแท้และแพร่หลายแล้ว
อาจเป็นคำตอบได้ว่า ทำไมเด็กจึงตกเป็นเหยื่อในสถานการณ์และอาชญา กรรมหลายคดีในสังคม