คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จัดสัมมนา "สุขภาพดีได้ เริ่มต้นจากการเปลี่ยนพฤติกรรม" เนื่องจากเมื่อปี พ.ศ.2555 คณะพยาบาลศาสตร์ จัดให้มีการตรวจสุขภาพบุคลากรภายใน ผลการตรวจสุขภาพผิดปกติ 77 คน จาก 107 คน คิดเป็นร้อยละ 71.96 และมีแนวโน้มความผิดปกติมากขึ้น โดยความผิดปกติใน 3 อันดับแรก คือ ไขมันในเลือดสูง ร้อยละ 45.80 ภาวการณ์มีดัชนีมวลกายเกิน ร้อยละ 40.20 และไขมันสูง ร้อยละ 12.15 ซึ่งภาวะผิดปกติดังกล่าวเป็นภาวะที่สามารถป้องกันแก้ไขได้ โดยเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังดังกล่าว
          คณะจึงได้จัดโครงการ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรียนรู้เรื่อง "ชีวิตและสุขภาพสู่ความสุขและความสำเร็จของคณาจารย์และบุคลากร" อันนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายสูงสุด คือ "สุขภาวะดี" นำไปสู่คณะสร้างเสริมสุขภาพ (Healthy faculty) และมหาวิทยาลัยสร้างสุขภาพ (Healthy University) ได้ในที่สุด กิจกรรมภายใน มีการประเมินภาวะสุขภาพก่อนเข้าร่วมโครงการ
          จากการตรวจสุขภาพประจำปี โดยประมวลผลทั้งในรูปแบบของรายบุคคลและรายกลุ่ม มีการบรรยายวิชาการ การประชุมเชิงปฏิบัติการ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภาวะสุขภาพ และการดูแลตนเอง 7 ครั้ง ครั้งละ 2 ชั่วโมง การจัดสิ่งแวดล้อม และการสร้างบรรยากาศเพื่อเอื้ออำนวยต่อการสร้างเสริมสุขภาพ ได้แก่ การบริการอาหารเพื่อสุขภาพในที่ทำงาน การจัดบริการออกกำลังกาย มุมความรู้เรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ การให้คำปรึกษาเรื่องภาวะสุขภาพ และการประเมินภาวะสุขภาพหลังสิ้นสุดโครงการ
          นพ.รณพร วีระฉันทะชาติ แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ ร.พ.สมิติเวช ศรีราชา เสวนาเรื่อง "สุขภาพดีได้เริ่มต้นจากการเปลี่ยนพฤติกรรม" ว่า ปัจจุบันความต้องการในการดูแลรักษาทางการแพทย์เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไป เนื่องจากอุบัติการณ์ของโรคเปลี่ยนจากกลุ่มเดิมที่เป็นโรคที่เกิดเฉียบพลัน เช่น โรคติดเชื้อ และอุบัติเหตุ ไปเป็นโรคกลุ่มเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และมะเร็ง ประกอบกับในอนาคต ประเทศ ไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะยิ่งส่งผลให้โรคเรื้อรังเป็นปัญหาต่อระบบสาธารณสุขเพิ่มขึ้น
          โดยแพทย์บางท่านให้ความเห็นว่าการวินิจฉัยโรคเรื้อรังต่างๆ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นหาสาเหตุที่แท้จริงของโรคต่อไปเท่านั้น พร้อมทั้งมีการค้นหายาเพื่อรักษาเพิ่มเติมจำนวนมาก ซึ่งการใช้ยาในโรคกลุ่มนี้เป็นเพียงบรรเทาอาการเท่านั้น และต้องพึ่งเทคโนโลยี ซึ่งจะตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูง อันจะเป็นภาระต่อไปในอนาคต จึงควรหาทางป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค