|
|
|
หนังสือพิมพ์ข่าวสด [ วันที่ 08/07/2556 ] |
|
|
|
|
ภัยเงียบกระดูกพรุน รุนแรงถึงตาย-สะโพกหัก |
|
|
|
|
"กระดูกพรุน" เป็นปัญหาสาธารณสุขอันดับสองรองจากโรคหัวใจและหลอดเลือด จากรายงานขององค์การอนามัยโลก เป็นโรคที่เรียกกันอีกชื่อว่า "มฤตยูเงียบ" เพราะอาการของโรคจะรุกคืบตลอดเวลา โดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่งคือ กระดูกพรุนกำลังคุกคามมนุษยชาติมากขึ้นเรื่อยๆ หากดูจากอัตราการหักของกระดูกสะโพกจากโรคนี้ ซึ่งประมาณการว่าจะเพิ่มจาก 1.7 ล้านคนในปี 2533 เป็น 6.3 ล้านคนในปี 2593 โดยประชากรที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชีย
รศ.พญ.วิไล คุปต์นิรัติศัยกุล ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เปิดเผยในการประชุมวิชาการเรื่อง Calcium Today : Less is More จัดโดย บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด บอกว่า โรคกระดูกพรุนมักตรวจพบหลังจากคนไข้กระดูกหักมาแล้ว การตรวจโดยเครื่องมือวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกเท่านั้น ซึ่งการตรวจหามวลกระดูกในช่วงอายุก่อน 65 ปี จะไม่แสดงปริมาณความหนาแน่นของมวลกระดูกที่แท้จริง จึงเรียกโรคนี้ว่า "มฤตยูเงียบ"
เมื่อโรคกระดูกพรุนมาเยือนจนถึงขั้นกระดูกหักแล้ว คนไข้ต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา ทำให้มีโอกาสเป็นโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น โรคเรื้อรังของระบบหายใจ แผลกดทับ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ การติดเชื้อ และอาจเสียชีวิตในที่สุด ในกรณีที่ผ่าตัดรักษาได้ อาจทำงานตามเดิมไม่ได้ ร้ายแรงกว่านั้น อาจเกิดอาการแทรกซ้อนในระหว่างผ่าตัด ทำให้คนไข้เสียชีวิตได้
ผู้หญิงที่อยู่ในวัยใกล้หมดประจำเดือน หรือย่างเข้าสู่วัยทองไปแล้วโอกาสเสี่ยงอันดับหนึ่ง เพราะขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยทำให้แคลเซียมมาจับที่เนื้อกระดูก หรือเกิดจากกรรมพันธุ์ เช่น คนที่มีน้ำหนักน้อย คนผิวขาว ครอบครัวมีประวัติเป็นโรคกระดูกพรุน เป็นต้น
รศ.พญ.วิไลบอกว่า ปัจจุบันการรักษาทำได้เพียงแค่หยุดยั้งการสูญเสียมวลกระดูก และรักษาอาการกระดูกหักเท่านั้น วิธีการรักษาที่ใช้อยู่คือการเสริมแคลเซียม การให้ฮอร์โมนทดแทน และการให้วิตามินดีเป็นต้น
"วิธีที่ดีสุด คือ การสร้างและสะสมมวลกระดูกให้แข็งแรงตั้งแต่วัยเด็ก โดยการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักใบเขียวและนม เด็กควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 2 แก้ว เป็นต้น นอกจากนั้นควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หยุดสูบบุหรี่ ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชากาแฟ และน้ำอัดลม"
จากการศึกษาพบว่า แคลเซียมช่วยลดการทำลายกระดูกได้ร้อยละ 1-2 ต่อปี แต่ควรรับประทานทุกวัน การศึกษายังพบด้วยว่า แคลเซียมจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากรับประทานร่วมกับวิตามินดี ในกลุ่มผู้สูงอายุ พบว่าการให้วิตามินดีร่วมกับแคลเซียม สามารถลดโอกาสเกิดการหกล้มได้ถึงร้อยละ 22 |
| | |
|
| |
|
pageview 1205867 |
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO) ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th | | |
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved
|
| |